จริยธรรมและธรรมาภิบาลทางการเมือง Module 1 ภาคการศึกษาที่ 3/2563 (เสาร์ที่ 24 - อาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564) 44/01
นักศึกษา ศึกษารายละเอียดวิธีการของกระบวนการศึกษาโดยละเอียด
1. นักศึกษาควรศึกษาเอกสาร อิเลคทรอนิคส์ที่ให้ไว้เพื่อประกอบการศึกษา
2. นักศึกษาต้องทำAssignment ที่ให้ไว้จนครบ การทำ Assignment นักศึกษา
ต้องทำใน Blog ของหน้าเพจใน Module นี้ ซึ่งใต้หน้าเพจนี้จะเขียนไว้ว่า
Post a Comment คลิกที่นี่ จะปรากฏ blog สำหรับทำ Assignment ที่ได้รับมอบ
หมาย
3. นักศึกาษาจะต้องส่ง Assignment ใน Blog ใต้เพจของ Module วิชาหลัก
จริยธรรมและธรรมาภิบาลทางการเมืองนี้เท่านั้นไม่รับส่งทาง Email และ ทางไลน์
ทั้งนี้ เพื่อสะดวกในการตรวจสอบและประเมินผล โดยนักศึกษาที่ทำ Assignment ต้องใส่
โปรไฟล์ ชื่อ รหัส นักศึกษา จะใส่รูปถ่าย-รูปภาพหรือไม่ก็ได้
4. นักศึกษาศึกษาเอกสารและวิดีโอที่
https://supwat.wixsite.com/-education/หล-กร-ฐประศาสนศาสตร-3-2563-44-01
ศึกษาเอกสารแล้ว ทำ Assignment ; คำถาม
1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
2. ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
3. หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
*** การร่วมคิดร่วมทำ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันของนักศึกษาจะนำมาพิจารณาด้วย
นักศึกษาสามารถโต้ตอบในช่องแชทที่หน้าแวบไซด์นี้ https://supwat.wixsite.com/-education/หล-กร-ฐประศาสนศาสตร-3-2563-44-01
Comments
1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ตอบ
ค่านิยม (Value) คำว่าค่านิยม มาจากคำว่า ค่า (คุณค่า) บวกกับคำว่า นิยม ก็หมายความว่า สิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าได้รับความนิยมชมชอบจาก บุคคล หรือ สังคม สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น รูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ (รองศาสตราจารย์โสภัณฑ์ นุชนาถ. 2548)
Dictionary of the Social Science (Cartir 1973:249) ให้คำจำกัดความของค่านิยมว่า“ค่านิยมเป็นความเชื่อ ความคิดที่คนสนใจและยึดถือเป็นมาตรฐาน (Standard) ในการประพฤติ”
โรคีช (Rokeach 1973) ให้ความเห็นว่า ค่านิยมเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งมีลักษณะถาวร โดยเชื่อว่าวิถีทางหรือจุดหมายปลายทางชีวิต เป็นสิ่งที่ตนหรือสังคมเห็นดี เห็นชอบ หรือสมควรที่จะยึดปฏิบัติมากกว่าวิถีชีวิต หรือเป้าหมายชีวิตอย่างอื่น
- Dictionary of the Social Science(Cartir 1973:249) ให้คำจำกัดความของค่านิยมว่า“ค่านิยมเป็นความเชื่อ ความคิดที่คนสนใจและยึดถือเป็นมาตรฐาน (Standard) ในการประพฤติ”
- เครทซ์ และคณะ (Kreth and others 1972 :102) ให้คำจำกัดความของค่านิยมไว้ว่าเป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งใดเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ค่านิยม จะสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของสังคม และเป็นสิ่งที่สมาชิกในสังคมยึดถือร่วมกันอย่างกว้างขวาง บุคคลใดยอมรับค่านิยมใดเป็นของตน ค่านิยมนั้นก็จะเป็นเป้าหมายในชีวิตของบุคคลนั้น
จริยธรรม ( Moral )
ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2543 :113 ) ได้กล่าวถึง จริยธรรมว่า เป็นระบบการทำความดี ละเว้นความชั่ว ระบบดังกล่าว หมายรวมถึงสาเหตุของการกระทำหรือไม่กระทำนั้น ตลอดจนกระบวนการเกิดและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย
พุทธทาส อินทปัญโญ ( 2542 : 2-3 ) ได้อธิบายความหมายของจริยธรรมว่า คำว่า moral ที่เราถือกันว่าได้แก่ ศีลธรรมนี้ เพ่งเล็งไปในทางการปฏิบัติมากกว่าหลักวิชาการ ส่วนคำว่า ethics นั้น เพ่งเล็งไปในทางหลักวิชามากกว่าที่จะเป็นตัวการปฏิบัติ ส่วนคำว่า moral นั้นหมายถึง ระเบียบปฏิบัติโดยตรง ในภาษาไทยตรงกับคำว่า ศีลธรรม ตามที่บัญญัติความหมายให้รัดกุมก็ได้แก่ระเบียบปฏิบัติ, ซึ่งปฏิบัติเพื่อให้เกิดความผาสุกและสงบสุข เนื่องด้วยสังคมเป็นส่วนใหญ่ แม้บุคคลจะเป็นผู้รับผลอันนั้น แต่ผลอันนั้นเพ่งเล็งถึงสังคมส่วนใหญ่ จะได้รับรวมกัน เป็นหน่วยใหญ่
-โคลเบิร์ก (Kohlberg 1971:34 ) กล่าวสรุปว่า จริยธรรมเป็นลักษณะของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของความประพฤติปฏิบัติในสังคม อันเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทำนั้นผิดหรือถูกโดยสังคมเป็นผู้ตัดสิน
- โฮแกน (Hogan 1973:217) กล่าวว่า จริยธรรมเป็นระบบของกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายนอกของบุคคลสร้างขึ้นเพื่อชี้แนะพฤติกรรมสังคมหรือพฤติกรรมระหว่างบุคคล
คุณธรรม (Morality)
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) พ.ศ. 2540 “คุณธรรม” เป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงประณีต และประเสริฐ
พจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2546 “คุณธรรม” (virtue) หมายถึง สภาพคุณงามความดีวศิน อิทสระ “คุณธรรม” คือ อุปนิสัยอันดีงาม ซึ่งสั่งสมอยู่ในดวงจิต คุณธรรมมีความสัมพันธ์กับการทำหน้าที่จนเป็นนิสัย จนกลายมาเป็นอุปนิสัยอันดีงาม สอดคล้องกับกับ สุรพล ไกรสราวุฒ ที่กล่าวว่า “คุณธรรม” ทำให้จิตอยู่ในภาวะดีงาม พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ซึ่งเป็นรากฐานของจริยธรรม (สุวิมล ว่องวาณิช, บรรณาธิการ, 2548) ในทำนองเดียวกัน ทิศนา แขมมณี (2546) ได้ให้ความหมายของ “คุณธรรม” ไว้ว่า หมายถึง คุณลักษณะ หรือ สภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้องดีงาม
ความหมายของค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม
“ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม” ทิศนา (2546) ได้อธิบายถึงความหมายไว้ว่า ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
2. ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ตอบ ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจริยธรรมและคุณค่าได้อธิบายไว้ในจุดด้านล่าง:
จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
ข้อสรุป
ในขณะที่จริยธรรมถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาและยังคงเหมือนเดิมสำหรับมนุษย์ทุกคน ค่านิยมมีวิธีการแบบปัจเจกนิยมนั่นคือมันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ยังคงมีความเสถียรไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเนื่องจากเหตุการณ์ทางอารมณ์ที่สำคัญ
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
1. หลักการพื้นฐาน
จริยธรรม : ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
2. ผู้ตัดสินความผิด
จริยธรรม : บุคคลผู้กระทำ
กฎหมาย : การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3. บทลงโทษ
จริยธรรม : การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม
กฎหมาย : ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. การบังคับใช้
จริยธรรม : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
กฎหมาย : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามกฎหมาย นอกจากนี้จริยธรรมยังเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมาย ความแตกต่างหลัก ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามกฎหมาย นอกจากนี้จริยธรรมยังเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมายในประเทศ กฎหมายและจริยธรรมเสริมสร้างมารยาททางสังคมและมาตรฐานในสังคม ดังนั้นผู้คนสามารถนำคุณภาพชีวิตด้วยความสงบและความสามัคคี ในทางใดทางหนึ่งจริยธรรมและกฎหมายมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่จริยธรรมมาก่อนในสังคมซึ่งมีอิทธิพลต่อการกำหนดกฎหมาย
ครอบคลุมพื้นที่สำคัญ
1. กฎหมายคืออะไร
- นิยามลักษณะ
2. จริยธรรมคืออะไร
- นิยามลักษณะ
3. ความคล้ายคลึงกันระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคืออะไร
- โครงร่างของคุณสมบัติทั่วไป
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคืออะไร
- การเปรียบเทียบความแตกต่างหลัก
กฎหมายสามารถนิยามได้ว่าเป็นระบบของกฎที่แต่ละประเทศหรือชุมชนยอมรับว่าเป็นการควบคุมการกระทำของสมาชิก ดังนั้นกฎหมายจึงตามมาด้วยบทลงโทษหรือการลงโทษสำหรับการละเมิดกฎหรือข้อบังคับที่บังคับใช้เหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นอำนาจการปกครองของประเทศ (รัฐ) หรือชุมชนที่บังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ บทลงโทษเช่นการลงโทษและการลงโทษมีผลบังคับใช้กับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเหล่านั้น โดยวิธีการดังกล่าวกฎหมายทำหน้าที่เป็นแนวทางหลักในการบำรุงรักษาสังคมที่ยุติธรรมและเป็นธรรม ดังนั้นคำว่าความยุติธรรมจึงเป็นคำหลักและแนวคิดทางกฎหมายเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นมันเป็นหน่วยงานปกครองของรัฐหรือชุมชนที่สร้างและบังคับใช้กฎและข้อบังคับเหล่านี้ พวกเขาสามารถกำหนดในรูปแบบของรัฐธรรมนูญ, สนธิสัญญา, การกระทำ, กฎหมายท้องถิ่น, กฎเกณฑ์, คำสั่งผู้บริหาร ฯลฯ โดยรวมพวกเขาระบุสิ่งที่คนควรและไม่ควรทำ นอกจากนี้กฎหมายเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกด้านของชีวิตของบุคคล
จริยธรรมคืออะไร
กล่าวโดยย่อจริยธรรมคือระบบของหลักการทางศีลธรรม สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การสร้างคุณธรรมในหมู่คนในสังคมหนึ่ง ๆ หรือในชุมชน Merriam Webster นิยามจริยธรรมว่าเป็น“ วินัยในการจัดการกับสิ่งที่ดีและไม่ดีและด้วยหน้าที่และภาระหน้าที่ทางศีลธรรมหรือทฤษฎีหรือระบบค่านิยมทางศีลธรรม” โดยรวมแล้วจริยธรรมสอนวิธีที่มนุษย์ควรประพฤติปฏิบัติ นอกจากนี้คำว่าจริยธรรมมีต้นกำเนิดมาจากคำภาษากรีกร๊อค นั่นหมายถึงกำหนดเองอักขระหรือการจัดการ จริยธรรมช่วยให้เราคิดในแง่ศีลธรรมและทำงานตามเงื่อนไขทางศีลธรรม ในทำนองเดียวกันจะปรับปรุงมาตรฐานทางศีลธรรมในประเทศหรือชุมชน กฎหมายกำหนดกรอบโดยรัฐยังมุ่งไปที่เดียวกัน ความคล้ายคลึงกันระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ทั้งสองมีเป้าหมายในการสร้างสังคมที่ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งเป้าหมายที่จะแนะนำผู้คนถึงวิธีการปฏิบัติตนในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นรอบตัวพวกเขา
ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
คำนิยาม
กฎหมายคือชุดของกฎและข้อบังคับที่สร้างและบังคับใช้โดยหน่วยงานปกครองของสังคม / ประเทศด้วยความตั้งใจในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมเป็นหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลหรือการดำเนินกิจกรรม ดังนั้นนี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ของกฎหมายคือการสร้างสังคมที่เป็นระเบียบไร้ความชั่วและความอยุติธรรม วัตถุประสงค์ของจริยธรรมก็เหมือนกันกับกฎหมาย เพื่อสร้างคนที่ถูกต้องทางศีลธรรมในสังคมเพื่อที่จะยกระดับจิตวิญญาณและมาตรฐานการครองชีพโดยรวมของมนุษยชาติ
การลงโทษ
ยิ่งไปกว่านั้นการลงโทษเป็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม การลงโทษเป็นองค์ประกอบหลักในกฎหมาย มันมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเป็นระเบียบและความยุติธรรมให้กับทุกคนในขณะที่การลงโทษที่ผิดและเน้นที่ถูกต้อง จริยธรรมไม่จำเป็นต้องมีการลงโทษเนื่องจากเป็นความเชื่อและหลักการทางศาสนาและสังคม อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณที่ยอมรับอาจถูกพิจารณาว่าผิดศีลธรรมหรือไม่ดีต่อผู้อื่นในสังคมเช่นกัน
ข้อสรุป
กฎหมายและจริยธรรมเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคุณภาพชีวิตในชุมชน ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคือเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจริยธรรมทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคมได้ในขณะที่คนอื่นจะถูกลงโทษเพราะไม่ปฏิบัติตามกฎ ดังนั้นจริยธรรมจึงเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมายในประเทศ
ข้อ.1 อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีและความถูกต้องซึ่งบุคคลควรยึดมั่นไว้เป็นหลักการในการปฏิบัติตนจนเป็นนิสัยความประพฤติดีงาม เพื่อประโยชน์แก่ตนและสังคม ซึ่งมีพื้นฐานมาจากหลักศีลธรรมทางศาสนา ค่านิยมทางวัฒนธรรม ประเพณี หลักกฎหมาย จรรยาบรรณวิชาชีพ การรู้จักไตร่ตรองว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ และอาจกล่าวได้ว่าคุณธรรม คือ จริยธรรมที่นำมาปฏิบัติจนเป็นนิสัย เช่น การเป็นคนซื่อสัตย์ เสียสละ และ มีความรับผิดชอบ
จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติที่เกิดจากคุณธรรม กฎเกณฑ์ที่เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติตนในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ทำได้ในทางวินัยจนเกิดความเคยชินมีพลังใจ มีความตั้งใจแน่วแน่จึงต้องอาศัยปัญญา และปัญญาอาจเกิดจากความศรัทธาเชื่อถือผู้อื่น ในทางพุทธศาสนาสอนว่า จริยธรรมคือการนำความรู้ ความจริงหรือกฎธรรมชาติมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตที่ดีงาม
จริยธรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญในสังคม ที่จะนำความสุขสงบและความและความเจริญก้าวหน้ามาสู่สังคมนั้นๆ เพราะเมื่อคนในสังคมมีจริยธรรม จิตใจก็ย่อมสูงส่ง มีความสะอาด และสว่างในจิตใจ
1.จริยธรรมเป็นรากฐานอันสำคัญแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคงและความสงบสุขของปัจเจกชน สังคมและประเทศชาติอย่างยิ่ง รัฐควรส่งเสริมประชาชนให้มีจริยธรรมเป็นอันดับแรก เพื่อให้เป็นแกนกลางของการพัฒนาด้านอื่นๆ ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา การเมืองการปกครอง
2. การพัฒนาบ้านเมือง ต้องพัฒนาจิตใจคนก่อน หรืออย่างน้อยก็ให้พร้อมๆไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาวิชาการอื่นๆ เพราะการพัฒนาที่ไม่มีจริยธรรมเป็นแกนนำนั้นจะสูญเปล่าและเกิดผลเสียเป็นอันมากทำให้บุคคลลุ่มหลงในวัตถุและอบายมุข การที่เศรษฐกิจต้องเสื่อมโทรม ประชาชนทุกข์ยาก เพราะคนในสังคมละเลยจริยธรรม กอบโกยทรัพย์สินเป็นประโยชน์ส่วนตัวมากเกินไปขาดความเมตตาปราณี
3. จริยธรรม มิได้หมายถึง การถือศีล กินเพล เข้าวัดฟังธรรม จำศีลภาวนา โดยไม่ช่วยเหลือทำประโยชน์ให้แก่สังคม แต่จริยธรรมหมายถึงความประพฤติ การกระทำและความคิดที่ถูกต้องเหมาะสมการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องสมบูรณ์ เว้นสิ่งควรเว้น ทำสิ่งควรทำ ด้วยความฉลาดรอบคอบ รู้เหตุรู้ผลถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล
4.การทุจริต คดโกง การเบียดเบียนกันในรูปแบบต่างๆอันเป็นเหตุให้สังคมเสื่อมโทรม มีสาเหตุมาจากการขาดจริยธรรมของคนในสังคม ทรัพยากรธรรมชาติในโลกนี้น่าจะพอเลี้ยงชาวโลกไปได้อีกนาน ถ้าชาวโลกช่วยกันละทิ้งความละโมบโลภมาก แล้วมามีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ช่วยกันสร้างสรรค์สังคม ยึดเอาจริยธรรมเป็นทางดำเนินชีวิต ไม่ใช่ยึดเอาลาภยศความมีหน้ามีตาในสังคมเป็นจุดหมาย
5. จริยธรรมสอนให้เราเลิกดูหมิ่นกดขี่คนจน ให้เอาใจใส่ดูแลเอื้ออาทรต่อผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นบุพการีของชาติ สอนให้เราถ่อมตัวเพื่อเข้าหากันได้ดีกับคนทั้งหลาย และไม่วางโตโอหังอวดดีหรือก้าวร้าวผู้อื่น สอนให้เราลดทิฏฐิมานะลงให้มากๆเพื่อจะได้มองเห็นสิ่งต่างๆตามความจริง ไม่หลงสำคัญตัวว่ารู้ดีกว่า มีความสามารถกว่าใคร ผู้นำที่มีจริยธรรมสูงย่อมเป็นที่เคารพกราบไหว้ของทั้งหลายได้อย่างสนิทใจ เราควรเลือกผู้นำที่สามารถนำความสงบสุขทางใจมาสู่มวลชนได้ด้วย เพื่อสันติสุขจะเกิดขึ้นทั้งภายในและภายนอก ความแข็งแกร่งทางกำลังกายกำลังทรัพย์และอาวุธนั้น ถ้าปราศจากความแข็งแกร่งทางจริยธรรมเสียแล้ว บุคคลหรือประเทศชาติจะมั่นคงอยู่ได้ไม่นาน สังคมที่เจริญมั่นคงต้องมีจริยธรรมเป็นเครื่องรับรอบหรือเป็นแกนกลาง
รหัส62423471046
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
-ค่านิยม หมายถึง พฤติกรรมของมนุษย์ที่ฝังแน่นอยู่ในตัวคน และเป็นสิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติกันต่อๆ มา หรืออาจหมายถึง การยอมรับนับถือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนที่มีอยู่ต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจเป็นวัตถุ มนุษย์ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ
-คุณธรรม Morality) เป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงประณีต และประเสริฐ คุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจสูง และประเสริฐ
-จริยธรรม (Ethics) ความเป็นผู้มีจิตใจสะอาด บริสุทธิ์ เสียสละหรือประพฤติดีงาม
จริยธรรมเป็นเรื่องที่นักการศึกษาและนักวิชาการสนใจที่จะศึกษา เพื่อนำ มาแก้ปัญหาจริยธรรมในสังคมไทย และหาทางปลูกฝังให้บุคคลในสังคมมีจริยธรรมควบคู่ไปกับคุณธรรม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ในการศึกษาจริยธรรมได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลายในทัศนะของตน
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
-จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
-ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามกฎหมาย นอกจากนี้จริยธรรมยังเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมาย ความแตกต่างหลัก ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตาม
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคือะไร
-กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระ
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
รหัสนักศึกษา 63423471061
ข้อที่1 อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ความหมายของค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม
“ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม” ทิศนา (2546) ได้อธิบายถึงความหมายไว้ว่า ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
รหัสนักศึกษา 63423471061
นาย ธนวัฒน์ อนุทิพย์
รหัสนักศึกษา 63423471061
ข้อ2 ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรมมีอะไรบ้าง
เนื่องจากมีความสงสัยเป็นการส่วนตัวและเชื่อว่าหลายคนก็คงสังสัยในการใช้คำและความหมายของคำว่า คุณธรรม (Virtue) จริยธรรม (Ethics) และค่านิยม (value) ซึ่งคำทั้งสามคำนี้มีความสำคัญมาก และมีการใช้กันทั่วไปและแพร่หลายในชีวิตประจำวัน การใช้ให้ถูกต้องและเข้าใจความหมายของคำทั้งสามจริงเป็นสิ่งจำเป็น เฉพาะวงการศึกษาด้วยแล้ว
ก่อนอื่นเรามาพิจารณาคำว่า "คุณธรรม" "Virtue"
คุณธรรม ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2546 หมายถึง สภาพคุณงามความดี
Virtue ตามความหมายของ Wikipedia หมายถึง คุณลักษณะในทางที่ดี (Virtue is moral excellence. A virtue is a positive trait)
สรุปจากความหมายที่นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ไว้ คุณธรรม หมายถึง คุณงามความดีที่สั่งสมในจิตใจมนุษย์โดยผ่านการเรียนรู้หรือประสบการณ์ต่างๆ หรือ ความดีงามที่อยู่ในจิตใจ หรือจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล หรือหลักธรรมที่รู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีซึ่งฝังรากอยู่ในจิตใจ
ความหมายของ "จริยธรรม" "Ethics"
จริยธรรม มีรากศัพย์มาจากภาษาบาลี_สันสกฤต คือ จริย =ความประพฤติ การปฏิบัติ หรือกริยาที่ควรประพฤติ
ธรรม =คุณงามความดี บุญกุศล กฏ ข้อบังคับ หลักคำสอนทางศาสนา เป็นต้น
จริยธรรม ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2546 หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติ ปฏิบัติ หรือศีลธรรม หรือกฏศีลธรรม
Ethics ตามความหมายของ Cambridge การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ดีและไม่ดี (the study of what is morally right and what is not)
จากการประมวลของข้าพเจ้าในการให้ความหมายของนักการศึกษา พบว่า จริยธรรม หมายถึง คุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวัง เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของสังคม หรือประพฤติตามค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยเน้นที่การประพฤติชอบ ถ้านิยามสั้นๆ คือ "หลักของการประพฤติ" หรือ "แนวทางของการประพฤติ" (ดวงเด่น นุเรนรัมย์) ซึ่งต่างจากศีลธรรมตรงที่ ศีลธรรม คือ สิ่งที่กำลังประพฤติอยู่ หรือประพฤติแล้ว โดย จริยธรรม หรือ Ethics จะอยู่ในรูปของปรัชญาเป็นความหมายที่กว้างกว่าศีลธรรม
ส่วน "ค่านิยม" "Value" เป็นความคิดหรือสิ่งที่ยอมรับว่าดีมีคุณค่าหรือ เป็นการยอมรับนับถือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนในสังคม ส่วน Phenix (1992) ให้นิยามว่า “ค่านิยมคือความชอบ ความสามารถจำแนกให้ความเห็นความแตกต่างของความชอบกับกับความไม่ชอบได้โดยการประเมินผล”
จึงสรุปได้ว่า ค่านิยม เป็นสิ่งกำหนดคุณค่าการกระทำของมนุยษ์ เช่น ค่านิยมการแต่งตัวของคนอีสาน ค่านิยมการไว้ทรงผมของเด็กวัยรุ่น เป็นต้น ซึ่งอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้
ถ้าค่านิยม ที่ดี เช่น การประหยัด การเสียสละ อดทน เป็นต้น ค่านิยมเหล่านี้ฝักรากลึกในจิตใจจะเรียกว่า คุณธรรม และถ้าประพฤติออกมาด้วย จะเรียกว่า จริยธรรม
ดังนั้นความต่างระหว่าง คุณธรรม กับ จริยธรรม คือคุณธรรม เป็นคุณสมบัติภายในใจใดๆ ส่วนจริยธรรม เป็น ส่ิงที่ควรประพฤติ
สรุปได้ว่า คุณธรรม และจริยธรรม หมายถึง คุณงามความดีของบุคคลที่กระทำด้วยความสำนึกดีในจิตใจ โดยยึดถือจนเป็นความเคยชิน
บางครั้งคำสองคำนี้ มักถูกใช้ควบคู่กัน "คุณธรรมจริยธรรม"
รหัส62423471014 รุ่น44
ข้อที่1 อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรม
ตอบ ค่านิยม”(Values)หมายถึง สิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตของมนุษย์ สิ่งที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรม ในการแสดงออกของมนุษย์ในสังคม แต่ละบุคคลจะมีการพิจารณาไตร่ตรองแล้วว่าดีและยอมรับที่ จะประพฤติปฏิบัติตามในทิศทางเดียวกันในสังคมนั้น ๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลง ได้ตามกาลเวลาและความคิดเห็นของบุคคลในสังคมนั้นๆ
เป็นความคิด พฤติกรรมและสิ่งอื่นใดที่คนในสังคมหนึ่งมองว่ามีคุณค่า จึงยอมรับมาปฏิบัติตามและหวงแหนไว้ในระยะเวลาหนึ่ง ค่านิยมสามารถเปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลาและความคิดเห็นของคนในสังคมนั้น ค่านิยมเป็นสิ่งที่บุคคลพอใจหรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แล้วยอมรับไว้เป็นความเชื่อหรือความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
ค่านิยมจึงเป็นเสมือนพื้นฐานแห่งการประพฤติ ปฏิบัติของบุคคลโดยตรง
คุณธรรม คือ หลักจริยาที่สร้างความรู้สึกชอบชั่วดีในทางศีลธรรม มีคุณงามความดีภายในจิตใจ อยู่ในชั้นสมบูรณ์ เตี่ยมเปี่ยมด้วยความสุข การเป็นผู้มีคุณธรรม คือ การปฏิบัติตนอยู่ในกรอบอันดีงาม คุณธรรม เป็นคุณสมบัติที่เป็นคนดี ความถูกต้อง ซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของบุคคล ซึ่งพร้อมที่จะกระทำพฤติกรรมต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อตนเองต่อผู้อื่น หรือทั้งตนเอง และผู้อื่น คุณธรรม เปรียบเสมือนหลักธรรม จริยธรรมที่สร้างความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในทางศีลธรรม มีคุณคุณภาพ ความภายในความดี คุณธรรมที่เป็นพื้นฐานของมนุษย์มี ๕ ประการ คือ
๑. มีจิตใจเคารพในชีวิตและร่างกายของผู้อื่น ไม่มุ่งทำร้ายผู้อื่น
๒. มีจิตใจเคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ทุจริตฉ้อโกง
๓. มีจิตใจเคารพและยินดีในคู่ครองของตน ไม่ประพฤติผิดในกาม
๔. มีจิตใจเคารพในความจริง ไม่หลอกลวงกล่าวเท็จ
๕. มีจิตใจเคารพในศักดิ์ศรีของตน ไม่เกี่ยวข้องสิ่งเสพติดให้โทษ
จริยธรรม คือ จริย + ธรรมะ คือ ความประพฤติที่เป็นธรรมชาติ เกิดจากคุณธรรมในตัวเอง ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม เป็นหลักความประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ดีงาม มีคุณค่า ควรแก่การนำไปดำเนินชีวิต หรือหลักในการดำเนินชีววิตอย่างประเสริฐ เป็นความประพฤติที่ประกอบด้วยศีล
จริยธรรม เป็นธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม ซึ่งก็คือ
กฎเกณฑ์ ความประพฤติของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์เอง ความเป็นผู้มีปรีชาญาณ (ปัญญาและเหตุผล) ทำให้มนุษย์มีมโนธรรม รู้จักแยกแยะความถูก ผิด ควร ไม่ควร ลักษณะของผู้มีจริยธรรม ผู้มีจริยธรรมจะเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะดังนี้
1. เป็นผู้ที่มีความเพียรความพยายามประกอบความดี ละอายต่อการปฏิบัติชั่ว
2. เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม และมีเมตตากรุณา
3. เป็นผู้มีสติปัญญา รู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่ประมาท
4. เป็นผู้ใฝ่หาความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพ เพื่อความมั่นคง
5.เป็นผู้ที่รัฐสามารถอาศัยเป็นแกนหรือฐานให้กับสังคม สำหรับการพัฒนาใด ๆ ได้
สรุปได้ว่า ค่านิยม คือ เป็นสิ่งกำหนดคุณค่าการกระทำของมนุยษ์ เป็นสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตของมนุษย์ สิ่งที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรม ในการแสดงออกของมนุษย์ในสังคม
คุณธรรม คือ ความรู้สึกชอบชั่วดีในทางศีลธรรม มีคุณธรรม รู้สึกผิดชอบชั่วดีภายในใจ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบอันดีงาม และ
จริยธรรม คือ ความประพฤติที่เกิดจากการมีคุณธรรมในตัวเอง เป็นหลักความประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามมีคุณค่า นั่นเอง
รหัส62423471014 รุ่น44
ข้อที่1 อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรม
ตอบ ค่านิยม”(Values)หมายถึง สิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตของมนุษย์ สิ่งที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรม ในการแสดงออกของมนุษย์ในสังคม แต่ละบุคคลจะมีการพิจารณาไตร่ตรองแล้วว่าดีและยอมรับที่ จะประพฤติปฏิบัติตามในทิศทางเดียวกันในสังคมนั้น ๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลง ได้ตามกาลเวลาและความคิดเห็นของบุคคลในสังคมนั้นๆ
เป็นความคิด พฤติกรรมและสิ่งอื่นใดที่คนในสังคมหนึ่งมองว่ามีคุณค่า จึงยอมรับมาปฏิบัติตามและหวงแหนไว้ในระยะเวลาหนึ่ง ค่านิยมสามารถเปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลาและความคิดเห็นของคนในสังคมนั้น ค่านิยมเป็นสิ่งที่บุคคลพอใจหรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แล้วยอมรับไว้เป็นความเชื่อหรือความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
ค่านิยมจึงเป็นเสมือนพื้นฐานแห่งการประพฤติ ปฏิบัติของบุคคลโดยตรง
คุณธรรม คือ หลักจริยาที่สร้างความรู้สึกชอบชั่วดีในทางศีลธรรม มีคุณงามความดีภายในจิตใจ อยู่ในชั้นสมบูรณ์ เตี่ยมเปี่ยมด้วยความสุข การเป็นผู้มีคุณธรรม คือ การปฏิบัติตนอยู่ในกรอบอันดีงาม คุณธรรม เป็นคุณสมบัติที่เป็นคนดี ความถูกต้อง ซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของบุคคล ซึ่งพร้อมที่จะกระทำพฤติกรรมต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อตนเองต่อผู้อื่น หรือทั้งตนเอง และผู้อื่น คุณธรรม เปรียบเสมือนหลักธรรม จริยธรรมที่สร้างความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในทางศีลธรรม มีคุณคุณภาพ ความภายในความดี คุณธรรมที่เป็นพื้นฐานของมนุษย์มี ๕ ประการ คือ
๑. มีจิตใจเคารพในชีวิตและร่างกายของผู้อื่น ไม่มุ่งทำร้ายผู้อื่น
๒. มีจิตใจเคารพในทรัพย์สินของผู้อื่น ไม่ทุจริตฉ้อโกง
๓. มีจิตใจเคารพและยินดีในคู่ครองของตน ไม่ประพฤติผิดในกาม
๔. มีจิตใจเคารพในความจริง ไม่หลอกลวงกล่าวเท็จ
๕. มีจิตใจเคารพในศักดิ์ศรีของตน ไม่เกี่ยวข้องสิ่งเสพติดให้โทษ
จริยธรรม คือ จริย + ธรรมะ คือ ความประพฤติที่เป็นธรรมชาติ เกิดจากคุณธรรมในตัวเอง ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม เป็นหลักความประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ดีงาม มีคุณค่า ควรแก่การนำไปดำเนินชีวิต หรือหลักในการดำเนินชีววิตอย่างประเสริฐ เป็นความประพฤติที่ประกอบด้วยศีล
จริยธรรม เป็นธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม ซึ่งก็คือ
กฎเกณฑ์ ความประพฤติของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์เอง ความเป็นผู้มีปรีชาญาณ (ปัญญาและเหตุผล) ทำให้มนุษย์มีมโนธรรม รู้จักแยกแยะความถูก ผิด ควร ไม่ควร ลักษณะของผู้มีจริยธรรม ผู้มีจริยธรรมจะเป็นผู้ที่มีคุณลักษณะดังนี้
1. เป็นผู้ที่มีความเพียรความพยายามประกอบความดี ละอายต่อการปฏิบัติชั่ว
2. เป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริต ยุติธรรม และมีเมตตากรุณา
3. เป็นผู้มีสติปัญญา รู้สึกตัวอยู่เสมอ ไม่ประมาท
4. เป็นผู้ใฝ่หาความรู้ ความสามารถในการประกอบอาชีพ เพื่อความมั่นคง
5.เป็นผู้ที่รัฐสามารถอาศัยเป็นแกนหรือฐานให้กับสังคม สำหรับการพัฒนาใด ๆ ได้
สรุปได้ว่า ค่านิยม คือ เป็นสิ่งกำหนดคุณค่าการกระทำของมนุยษ์ เป็นสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตของมนุษย์ สิ่งที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรม ในการแสดงออกของมนุษย์ในสังคม
คุณธรรม คือ ความรู้สึกชอบชั่วดีในทางศีลธรรม มีคุณธรรม รู้สึกผิดชอบชั่วดีภายในใจ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบอันดีงาม และ
จริยธรรม คือ ความประพฤติที่เกิดจากการมีคุณธรรมในตัวเอง เป็นหลักความประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามมีคุณค่า นั่นเอง
รหัส62423471014 รุ่น44
ข้อที่2 ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ตอบ ค่านิยม เป็นสิ่งกำหนดคุณค่าการกระทำของมนุยษ์ คือความเชื่อหรือหลักการที่สำคัญและยืนยงซึ่งแต่ละคนตัดสินในชีวิต
คุณธรรม คือ ความรู้สึกชอบชั่วดีในทางศีลธรรมที่มีภายในจิตใจ เป็นการประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบอันดีงาม
จริยธรรม คือ ความประพฤติที่ก็ให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม เป็นหลักความประพฤติที่ดีงาม เป็นความประพฤติที่ประกอบด้วยศีล
จรรยาบรรณ คือ หลักความประพฤติที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของบุคคลที่ปฏิบัติงาน ในสายงานต่างๆ
ค่านิยมแตกต่างจากจรรยาบรรณคือ ค่านิยมหมายถึงหลักการและอุดมคติที่ทำให้ตัดสินใจว่าอะไรสำคัญกว่า แต่จรรยาบรรณ คือ แนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่านิยมบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
ส่วนคุณธรรมกับจริยธรรม จะเห็นว่า คุณธรรม เป็นสมบัติภายในใจใดๆ ส่วนจริยธรรมเป็นสิ่งที่ควรประพฤติ
คุณธรรมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณงามความดีภายในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นผลที่เกิดจากคุณธรรม จริยธรรมเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยคุณธรรมเป็นปัจจัยให้กระทำ
จริยธรรมคือข้อควรปฏิบัติหรือสิ่งที่ควรปฏิบัติซึ่งสอดคล้องกับหลักความถูกต้อง ดีงาม ขณะที่จรรยาบรรณ คือหลักความประพฤติที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของบุคคลที่ปฏิบัติงาน ในสายงานต่างๆ นั่นเอง
รหัส62423471014 รุ่น44
ข้อที่3 หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรม มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ จริยธรรม แปลว่า ธรรมที่เป็นข้อควรปฏิบัติ ศีลธรรม กฎแห่งศีลธรรม หรือคุณความดีที่ควรปฏิบัติ
กฎหมาย คือ บทบัญญัติ ซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศได้ตราขึ้นไว้ใช้ในการบริหารกิจการบ้านเมือง และบังคับบุคคลในความสัมพันธ์ ระหว่างกัน ผู้ใดฝ่าฝืนต้องได้รับโทษหรือต้องถูกบังคับให้ปฏิบตัติาม
ในการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมหลักการที่ใช้แบ่งแยกจะยึดทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโยชน์สุขนิยม โดย
•กฎหมายบ้านเมืองมีแนวคิดว่ากฎหมายคือ
"คำสั่ง"ของรัฐ ซึ่งไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับศีลธรรม กฎหมายจึงอาจขัดกับศีลธรรมได้ เน้นความสำคัญที่ข้อเท็จจริงอันปรากฏเกี่ยวกับกฎหมาย และไม่มีสิ่งใดมาขัดหรือแย้งกับอำนาจหรือคำสั่งดังกล่าวได้
นักปรัชญาสำคัญชื่อ John Austin กล่าวไว้ว่า
•"เมื่อกฎหมายบัญญัติว่าผิดก็ต้องผิด ไม่ผิดก็ย่อมไม่ผิด" ไม่จำเป็นต้องแสวงหาหลักการหรือเหตุผลอื่นใดมาเปลี่ยนแปลงหรือสร้างความยุติธรรม เพราะเมื่อมีกฎหมายย่อมถือว่าเป็นที่ยุติธรรมแล้ว กฎหมายในความหมายของออสตินคือ "The command of sovereign backed by threat of sanction" (คำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุด โดยมีการระวางโทษเป็นเครื่องมือรองรับ)
ดังนั้น กฎหมายของสำนักกฎหมายบ้านเมืองจึงหมายถึง “คำสั่งของรัฎฐาธิปัตย์” หรือ “คำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ”
ลัทธิประโยชน์สุขนิยม (อังกฤษ: utilitarianism) หมายถึง แนวคิดที่เชื่อว่าคุณค่าทางศีลธรรมเป็นการกระทำที่ขึ้นอยู่กับการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม กล่าวคือ เป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความสุขหรือความพอใจขึ้นในบุคคลโดยทั่วไป ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของผลลัพธ์นิยม หรือการยึดถือคุณค่าทางศีลธรรมขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นหลัก นักคิดทั้งหลายได้นิยามคำว่า "ประโยชน์" นี้หมายถึงความดีสูงสุด ได้แก่ ความสุขหรือความพอใจ (ตรงกันข้ามกับความทรมานหรือความเจ็บปวด) ทำให้อาจสามารถอธิบายได้ด้วยรูปแบบของชีวิตว่า ความสุขหรือความพอใจถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด
ดังนั้นในการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมจะต้องอาศัยหลักการทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโยชน์สุขนิยมนั่นเองด
นางสาววนิดา ปัญชาติ
รหัส62423471014 รุ่น44
ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรธ มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ กฎหมายสามารถนิยามได้ว่าเป็นระบบของกฎที่แต่ละประเทศหรือชุมชนยอมรับว่าเป็นการควบคุมการกระทำของสมาชิก ดังนั้นกฎหมายจึงตามมาด้วยบทลงโทษหรือการลงโทษสำหรับการละเมิดกฎหรือข้อบังคับที่บังคับใช้เหล่านี้
จริยธรรมคือระบบของหลักการทางศีลธรรม สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การสร้างคุณธรรมในหมู่คนในสังคมหนึ่ง ๆ หรือในชุมชน
กฎหมายกับจริธรรม มีข้อแตกต่างกันดังนี้
1. จริยธรรมเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์ในขณะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์ กล่าวคือ จริยธรรมควบคุมความคิดจิตใจของมนุษย์ที่เกิดจากคุณธรรมในตัวเอง เป็นเครื่องมือที่ควบคุมความประพฤติที่ประกอบด้วยศีล แต่กฎหมายควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ดีของมนุษย์บุคคลที่ถูกกฎหมายลงโทษคือบุคคลที่ประพฤติผิด ประพฤติในทางที่ไม่ดี
2. จริยธรรมไม่มีการลงโทษด้วยกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคมในขณะที่กฎหมายมีบทลงโทษชัดเจน กล่าวคือหากประพฤติผิดจริยธรรมก็จะถูกสังคมประนาม แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็จะได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด เช่นฆ่าคนตาย ก็ต้องรับโทษติดคุก เป็นต้น
3. จริยธรรมเป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน กฎหมายควบคุมจากภายนอก จริยธรรมคือความประพฤติที่เกิดจากคุณธรรมในตัวเองเป็นความประพฤติที่ดีงามมีคุณค่าเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์ส่วนกฎหมายควบคุมพฤติกรรมที่เกิดจากการกระทำ
4. จริยธรรมเป็นข้องบังคับของสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนกฎหมายเป็นข้อบังคับของรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร กฎหมายจะบัญญัติไว้เลยว่าผู้ใดกระทำผิดแบบใดจะต้องได้รับโทษตามความผิดนั้น
5. คุณธรรมเป็นเรื่องของจิตสำนึกที่ทำเพราะเห็นถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ ส่วนกฎหมายเป็นเรื่องของบทบัญญัติว่าด้วยการที่ต้องทำหรือควรละเว้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กล่าวคือคุณธรรมเป็นเรื่องของความรู้ผิดชอบชั่วดีความมีจิตสำนึกที่จะทำ แต่กฎหมายเป็นเรื่องของข้อกำหนดว่าห้ามทำหรือละเว้น
รหัสนักศึกษา 63423471061รุ่นที่46
ข้อ3 หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรม มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
มนุษย์ต้องมีกฎเกณฑ์ที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ กฎเกณฑ์นี้คือ เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกัน อย่างสงบสุข “กฎหมาย ศีลธรรม จริยธรรม ศาสนา และจารีตประเพณี กฎหมายเป็นข้อบังคับของรัฐได้ กำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นส่วนใหญ่ กำหนดความประพฤติภายนอกของมนุษย์ที่แสดงออกมาให้ เห็นผผู้ที่ฝ่าฝืน จะไดรับผลร้ายหรือถูกลงโทษ ส่วนศีลธรรมเป็นความรรู้สุกที่เกิด จากจิตใจของมนุษย์แต่ละคน ศีลธรรมนนั้ มิไ้ดมาจากการหนดเป็น ลายลักษณ์อักษรใด เป็นเพียงแต่ความคิดในทางในทางมิชอบ ศีล ธรรม แล้ว ขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของคนๆนั้นโดยเฉพาะ ผลกระทบจากการฝ่าฝืนจริยธรรมจะได้รับเพียง การติเตียนจากสังคมเท่านั้น ส่วนผู้ฝ่าฝืนหลักคำสอนของศาสนาจะไม่มีสภาพบังคับไว้แน่นอน แต่หาก ผู้ใดฝ่าฝืนข้อบังคับ ทางศาสนามักจะถูกสังคมที่นี้ บันทึก ศาสนานนั้นให้ รังเกียจไม่ให้คบหาสมาคมด้วยส่วนจารีตประเพณจารีตเป็นบรรทัดฐานทกี่กำหนดใหคนในสังคมประพฤติ ปฏิบัติอย่างเข้มงวด โดยคนในสังคมนั้นถือว่าแบบแผนการปฏิบัติดังกล่าวเป็นสิ่งที่ดี งาม ผผู้ละเมิดจะ ผลกระทบด้วยการติเตียนและรังเกียจจากสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรม จริยธรรม ศาสนา และจารีตประเพณี มีหลายประการด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สังคมมีความสงบสุข ซึ่งกฎหมายอาจมีลักษณะแตกต่างจากกฎเกณฑ์อื่นอยู่บ้างตรงที่กฎหมายมีโทษที่ค่อนข้างรุนแรงและ เด็ดขาดกว่า สามารถนำมาบังคับใช้ให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมได้ดีกว่า นอกจากนั้นแล้วกฎหมายเป็น กฎเกณฑ์ที่ไม่อาจสามารถเกิดขึ้นเองได้เหมือนกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แต่กฎหมายมีจุดกำเนิดหรือที่มาของกฎหมายจากศีลธรรม ศาสนา และจารีตประเพณี
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ตอบ ค่านิยม (Value) คำว่าค่านิยม มาจากคำว่า ค่า (คุณค่า) บวกกับคำว่า นิยม ก็หมายความว่า สิ่ง
นั้นๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าได้รับความนิยมชมชอบจาก บุคคล หรือ สังคม สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น รูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้
Dictionary of the Social Science ให้คำจำกัดความของค่านิยมว่า“ค่านิยมเป็นความเชื่อ ความคิดที่คนสนใจและยึดถือเป็นมาตรฐาน (Standard) ในการประพฤติ”
โรคีช ให้ความเห็นว่า ค่านิยมเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งมีลักษณะถาวร โดยเชื่อว่าวิถีทางหรือจุดหมายปลายทางชีวิต เป็นสิ่งที่ตนหรือสังคมเห็นดี เห็นชอบ หรือสมควรที่จะยึดปฏิบัติมากกว่าวิถีชีวิต หรือเป้าหมายชีวิตอย่างอื่น
เครทซ์ และคณะ ให้คำจำกัดความของค่านิยมไว้ว่าเป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งใดเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ค่านิยม จะสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของสังคม และเป็นสิ่งที่สมาชิกในสังคมยึดถือร่วมกันอย่างกว้างขวาง บุคคลใดยอมรับค่านิยมใดเป็นของตน ค่านิยมนั้นก็จะเป็นเป้าหมายในชีวิตของบุคคลนั้น
จริยธรรม ( Moral )
ดวงเดือน พันธุมนาวิน ได้กล่าวถึง จริยธรรมว่า เป็นระบบการทำความดี ละเว้นความชั่ว ระบบดังกล่าว หมายรวมถึงสาเหตุของการกระทำหรือไม่กระทำนั้น ตลอดจนกระบวนการเกิดและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย
พุทธทาส อินทปัญโญ ได้อธิบายความหมายของจริยธรรมว่า คำว่า moral ที่เราถือกันว่าได้แก่ ศีลธรรมนี้ เพ่งเล็งไปในทางการปฏิบัติมากกว่าหลักวิชาการ ส่วนคำว่า ethics นั้น เพ่งเล็งไปในทางหลักวิชามากกว่าที่จะเป็นตัวการปฏิบัติ ส่วนคำว่า moral นั้นหมายถึง ระเบียบปฏิบัติโดยตรง ในภาษาไทยตรงกับคำว่า ศีลธรรม ตามที่บัญญัติความหมายให้รัดกุมก็ได้แก่ระเบียบปฏิบัติ, ซึ่งปฏิบัติเพื่อให้เกิดความผาสุกและสงบสุข เนื่องด้วยสังคมเป็นส่วนใหญ่ แม้บุคคลจะเป็นผู้รับผลอันนั้น แต่ผลอันนั้นเพ่งเล็งถึงสังคมส่วนใหญ่ จะได้รับรวมกัน เป็นหน่วยใหญ่
โคลเบิร์ก กล่าวสรุปว่า จริยธรรมเป็นลักษณะของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของความประพฤติปฏิบัติในสังคม อันเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทำนั้นผิดหรือถูกโดยสังคมเป็นผู้ตัดสิน
โฮแกน กล่าวว่า จริยธรรมเป็นระบบของกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายนอกของบุคคลสร้างขึ้นเพื่อชี้แนะพฤติกรรมสังคมหรือพฤติกรรมระหว่างบุคคล
คุณธรรม (Morality)
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) “คุณธรรม” เป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงประณีต และประเสริฐ
พจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2546 “คุณธรรม” (virtue) หมายถึง สภาพคุณงามความดีวศิน อิทสระ “คุณธรรม” คือ อุปนิสัยอันดีงาม ซึ่งสั่งสมอยู่ในดวงจิต คุณธรรมมีความสัมพันธ์กับการทำหน้าที่จนเป็นนิสัย จนกลายมาเป็นอุปนิสัยอันดีงาม สอดคล้องกับกับ สุรพล ไกรสราวุฒ ที่กล่าวว่า “คุณธรรม” ทำให้จิตอยู่ในภาวะดีงาม พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ซึ่งเป็นรากฐานของจริยธรรม (สุวิมล ว่องวาณิช, บรรณาธิการ, 2548) ในทำนองเดียวกัน ทิศนา แขมมณี (2546) ได้ให้ความหมายของ “คุณธรรม” ไว้ว่า หมายถึง คุณลักษณะ หรือ สภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้องดีงาม
ความหมายของค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม
“ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม” ทิศนา (2546) ได้อธิบายถึงความหมายไว้ว่า ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณแบละจริยธรรมมีอะไรบ้าง
ตอบ จริยธรรมและค่านิยมร่วมกันวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะใช้คำพ้องความหมายต่างกัน แต่ใน ทางกลับกันจริยธรรมนั้นเป็นชุดของกฎที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มหรือวัฒนธรรม ค่านิยม หมายถึงความเชื่อที่บุคคลมีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน
จริยธรรมและค่านิยมมีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของชีวิตเมื่อเราต้องเลือกระหว่างสองสิ่งโดยที่จริยธรรมจะกำหนดสิ่งที่ถูกต้องค่าจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่สำคัญ
ในโลกแห่งการแข่งขันที่ดุเดือดองค์กรธุรกิจทุกแห่งต่างก็ทำงานบนหลักการและความเชื่อที่แน่นอน มีการดำเนินการด้านจริยธรรมในองค์กรเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นลูกค้าซัพพลายเออร์พนักงานสังคมและรัฐบาล อ่านบทความต่อไปนี้เพื่อทราบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
คำจำกัดความของจริยธรรม
โดยคำว่า 'จริยธรรม' เราหมายถึงสาขาปรัชญาคุณธรรม - ความรู้สึกของความถูกต้องหรือผิดของการกระทำแรงจูงใจและผลของการกระทำเหล่านี้ กล่าวโดยย่อก็คือวินัยที่ระบุความดีหรือความชั่วเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ทางศีลธรรมหรือไม่ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม เป็นมาตรฐานที่ดีที่บุคคลควรทำเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ความเป็นธรรมผลประโยชน์ต่อสังคมและอื่น ๆ มาตรฐานดังกล่าวมีข้อผูกมัดที่สมเหตุสมผลในการหยุดอาชญากรรมเช่นการขโมยการข่มขืนการข่มขืนการฆาตกรรมการฉ้อโกงและอื่น ๆ
คำจำกัดความของค่านิยม
ค่านิยมหมายถึงความเชื่อหรือหลักการที่สำคัญและยืนยงซึ่งแต่ละคนตัดสินในชีวิต มันเป็นศูนย์กลางของชีวิตของเราซึ่งทำหน้าที่เป็นมาตรฐานของพฤติกรรม พวกเขาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานะทางอารมณ์ของจิตใจของบุคคล พวกเขาสามารถเป็นค่าส่วนบุคคลค่าวัฒนธรรมหรือค่านิยมขององค์กร
ค่านิยมเป็นพลังที่ทำให้บุคคลประพฤติตนในลักษณะเฉพาะ มันกำหนดลำดับความสำคัญของเราในชีวิตคือสิ่งที่เราพิจารณาในสถานที่แรก มันเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังตัวเลือกที่เราทำ มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับเรา ดังนั้นหากเราซื่อตรงต่อค่านิยมของเราและตัดสินใจเลือกตามความเหมาะสมวิธีที่เราดำเนินชีวิตเพื่อแสดงค่านิยมหลักของเรา นอกจากนี้หากคุณเข้าใจคุณค่าของบุคคลคุณสามารถระบุสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจริยธรรมและคุณค่าได้อธิบายไว้ในจุดด้านล่าง
1.จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
2.จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
3.ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
4.จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
5.ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
6.จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
ข้อสรุป ในขณะที่จริยธรรมถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาและยังคงเหมือนเดิมสำหรับมนุษย์ทุกคน ค่านิยมมีวิธีการแบบปัจเจกนิยมนั่นคือมันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ยังคงมีความเสถียรไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเนื่องจากเหตุการณ์ทางอารมณ์ที่สำคัญ
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านชีววิทยาศาสตร์ (bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่งสิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น “เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม และกฎหมาย จึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม (ethical-legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโชยน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่าหลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชม คำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้อง “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of low)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอย่ในใจซึ่งได้ปรากฎออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยหลักจริยธรรมของสังคมมนุษย์
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรมมีการกล่าวถึงด้านล่าง
1.กฎหมายถูกกำหนดให้เป็นระบบกฎเกณฑ์ที่ควบคุมทั้งสังคมและการกระทำของสมาชิกแต่ละคน จริยธรรมหมายถึงศาสตร์แห่งการประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานของมนุษย์
2.กฎหมายประกอบด้วยชุดของกฎและข้อบังคับในขณะที่จริยธรรมประกอบด้วยแนวทางและหลักการที่แจ้งให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตหรือวิธีการปฏิบัติตนในสถานการณ์เฉพาะ
3.กฎหมายถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลซึ่งอาจเป็นในระดับท้องถิ่นภูมิภาคระดับประเทศหรือระหว่างประเทศ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมถูกควบคุมโดยบรรทัดฐานของบุคคลกฎหมายหรือวิชาชีพเช่นจรรยาบรรณในการทำงานจริยธรรมสิ่งแวดล้อมและอื่น ๆ
4.มีการแสดงออกในรัฐธรรมนูญในรูปแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษร ตรงข้ามกับจริยธรรมไม่สามารถพบได้ในรูปแบบการเขียน
5.การฝ่าฝืนกฎหมายอาจส่งผลให้มีการลงโทษหรือลงโทษหรือทั้งสองอย่างที่ไม่ได้อยู่ในการละเมิดจริยธรรม
6.วัตถุประสงค์ของกฎหมายคือการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศและคุ้มครองประชาชนทุกคน แตกต่างจากจริยธรรมที่เป็นจรรยาบรรณที่ช่วยให้บุคคลตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดและวิธีการปฏิบัติ
7.กฎหมายสร้างความผูกพันทางกฎหมาย แต่จริยธรรมไม่มีผลผูกพันกับประชาชน
คำนิยาม
กฎหมายคือชุดของกฎและข้อบังคับที่สร้างและบังคับใช้โดยหน่วยงานปกครองของสังคม / ประเทศด้วยความตั้งใจในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมเป็นหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลหรือการดำเนินกิจกรรม ดังนั้นนี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ของกฎหมายคือการสร้างสังคมที่เป็นระเบียบไร้ความชั่วและความอยุติธรรม วัตถุประสงค์ของจริยธรรมก็เหมือนกันกับกฎหมาย เพื่อสร้างคนที่ถูกต้องทางศีลธรรมในสังคมเพื่อที่จะยกระดับจิตวิญญาณและมาตรฐานการครองชีพโดยรวมของมนุษยชาติ
การลงโทษ
ยิ่งไปกว่านั้นการลงโทษเป็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม การลงโทษเป็นองค์ประกอบหลักในกฎหมาย มันมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเป็นระเบียบและความยุติธรรมให้กับทุกคนในขณะที่การลงโทษที่ผิดและเน้นที่ถูกต้อง จริยธรรมไม่จำเป็นต้องมีการลงโทษเนื่องจากเป็นความเชื่อและหลักการทางศาสนาและสังคม อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณที่ยอมรับอาจถูกพิจารณาว่าผิดศีลธรรมหรือไม่ดีต่อผู้อื่นในสังคมเช่นกัน
ข้อสรุป. กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระและเลือก กฎหมายและจริยธรรมเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคุณภาพชีวิตในชุมชน ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคือเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจริยธรรมทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคมได้ในขณะที่คนอื่นจะถูกลงโทษเพราะไม่ปฏิบัติตามกฎ ดังนั้นจริยธรรมจึงเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมายในประเทศ
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรม
ตอบ -ค่านิยม (Value) คำว่าค่านิยม มาจากคำว่า ค่า (คุณค่า) บวกกับคำว่า นิยม ก็หมายความว่า สิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าได้รับความนิยมชมชอบจาก บุคคล หรือ สังคม สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น รูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้
ค่านิยมเป็นสิ่งที่ยึดถือกันว่า มีคุณค่าแก่ตนเอง หรือแก่สังคม เป็นสิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติ ค่านิยมยังเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลในสังคม เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเลือกกระทำ ซึ่งหมายถึงจริยธรรมของแต่ละบุคคลและแต่ละสังคม
-คุณธรรม (Morality) อุปนิสัยอันดีงาม ซึ่งสั่งสมอยู่ในดวงจิต คุณธรรมมีความสัมพันธ์กับการทำหน้าที่จนเป็นนิสัย จนกลายมาเป็นอุปนิสัยอันดีงาม ทำให้จิตอยู่ในภาวะดีงาม พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ซึ่งเป็นรากฐานของจริยธรรม
-จริยธรรม ( Moral )เป็นการเพ่งเล็งไปในทางการปฏิบัติมากกว่าหลักวิชาการ เป็นระบบการทำความดี ละเว้นความชั่ว และเป็นลักษณะของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของความประพฤติปฏิบัติในสังคม อันเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทำนั้นผิดหรือถูกโดยสังคมเป็นผู้ตัดสิน
สรุป ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
2.ข้อแตกต่างระหว่างค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ตอบ ความแตกต่างระหว่างค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม จากการสรุป สามารถสรุปได้ดังนี้
จริยธรรมและค่านิยมร่วมกันวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะใช้คำพ้องความหมายต่างกัน แต่ใน ทางกลับกันจริยธรรมนั้นเป็นชุดของกฎที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มหรือวัฒนธรรม ค่านิยม หมายถึงความเชื่อที่บุคคลมีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน จริยธรรมและค่านิยมมีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของชีวิตเมื่อเราต้องเลือกระหว่างสองสิ่งโดยที่จริยธรรมจะกำหนดสิ่งที่ถูกต้องค่าจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่สำคัญ และในส่วนของคุณธรรมเป็นเรื่องของจิตสำนึกที่ทำเพราะเห็นถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ ส่วนกฎหมายเป็นเรื่องของบทบัญญัติว่าด้วยการที่ต้องทำหรือควรละเว้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กล่าวคือคุณธรรมเป็นเรื่องของความรู้ผิดชอบชั่วดีความมีจิตสำนึกที่จะทำ แต่กฎหมายเป็นเรื่องของข้อกำหนดว่าห้ามทำหรือละเว้น
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยึมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ ความก้าวหน้าของงานวิจัยโดยเฉพาะ ในด้านชีววิทยาศาสตร์ (bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัย ต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความ ไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือ ในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและ วัตถุประสงค์ท่ีจะนำไปสู่สิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกและความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจรยิธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง นับว่า เป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น “เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็น คำถามท่ีเก่ียวกับคุณธรรม และกฎหมาย จึงตกอยู่ในความ ยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม (ethical – legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเปฟันรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์ สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยก ระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิด อันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง และลัทธิประโยชน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่า หลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวน้ันไม่ได้รับความชื่นชม คำถามท่ีเก่ียวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถาม ที่เกี่ยวกับ “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ กฎหมายและจริยธรรมล้วนเป็นเคร่ืองมือท่ีมนุษย์ สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม แม้มีความหมายที่แตกต่างกัน กล่าวคือ กฎหมายเป็น เครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่มีการลงโทษอย่าง ชดั เจน สว่ นจรยิ ธรรม เปน็ เครอื่ งมอื ควบคมุ พฤตกิ รรมบคุ คล ที่ไม่มีการลงโทษชัดเจนดังเช่นกฎหมาย หากแต่เป็นการ ควบคุมในทางสังคม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าจริยธรรมเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับสูง ส่วนกฎหมายเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับต่ำ จึงต้องมีบทลงโทษ สำหรับผู้ฝ่าฝืนอย่างชัดเจน เช่น การห้ามฆ่าคน ในทางกฎหมายถือเป็นการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ขั้นต่ำ หากมนุษย์ฝ่าฝืน สังคมก็จะไม่ยอมรับและถือว่าผิดกฎหมาย แต่โดยหลักจริยธรรมน้ัน ไม่เพียงแต่ห้ามมนุษย์ฆ่ากันเอง แต่ประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีความเมตตากรุณา และช่วย เหลือเกื้อกูลกันด้วย อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายและจริยธรรมมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ต่างก็มีบทบาทในทาง สังคมที่ส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งน้ีเพราะ กฎหมายไม่อาจบัญญัติข้อห้ามหรือกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ จะต้องประพฤติปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางครอบคลุม ทุกกรณี ดังคำกล่าวท่ีว่าลำพังแต่กฎหมายย่อมไม่อาจ ท่ีจะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ จึงเป็นหน้าท่ีของ จริยธรรม หรือศีลธรรมท่ีจะวางหลักเกณฑ์ความดีและ ความชถาว ความถูก และความผิด ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตาม เพื่อควบคุมพฤติกรรมภายใน โดยเน้นการสร้างจิตสำนึก ให้ตระหนักรู่ว่าส่ิงใดควรทำหรือไม่ควรทำ แม้ไม่มีกฎหมาย บัญญัติไว้อย่างแน่ชัดก็ตาม
1.ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม
ตอบ ค่านิยม Value
เป็นความคิดหรือสิ่งที่ยอมรับว่าดีมีคุณค่าหรือเป็นการยอมรับนับถือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนในสังคม ส่วนPhenix (1992) ให้นิยามว่า “ค่านิยม คือ ความชอบ ความสามารถจำแนกให้ความเห็นความแตกต่างของความชอบกับกับความไม่ชอบได้โดยการประเมินผล”
ค่านิยม หมายถึง การยอมรับและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนมีอยู่ต่อสิ่งต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นวัตถุ ความคิด อุดมคติ รวมทั้งการกระทำในด้านเศรษฐกิจ สังคม จริยธรรม และสุนทรียภาพ ทั้งนี้ได้กระทำการประเมินค่าจากทรรศนะต่าง ๆ โดยรอบคอบแล้ว (พนัส หันนาคินทร์, 2526 : 18 )
ค่านิยม คือหลักการประพฤติปฏิบัติตนต่อสิ่งต่างๆ ที่บุคคลถือว่าดีงามถูกต้อง และควรแก่การยึดถือ (วัชรี ธุวธรรม 2538 : 2 – 4)
ค่านิยม หมายถึง การให้ค่าแก่สิ่งต่างๆว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี อะไรควร ไม่ควร เช่นเราให้ค่าแก่ความซื่อสัตย์ว่าเป็นสิ่งที่ดี เราจะแสดงความซื่อสัตย์ หรือบางคนพอใจจะให้ค่าแก่การมีวัตถุสิ่งของว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่ว่าการได้มาซึ่งวัตถุสิ่งของนั้นจะได้มาด้วยวิธีใด บุคคลก็จะสะสมวัตถุสิ่งของเอาไว้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ค่านิยมจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลในสังคม (สมพร สุทัศนีย์, 2541 : 108 – 109)
Value ตามความหมายของ Wikipedia หมายถึง กระแสความนิยมของบุคคล หรือกลุ่มคนในสังคมต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีผลต่อความคิด และการกระทำ
จากความหมายที่นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ไว้ ค่านิยม เป็นสิ่งที่กำหนดคุณค่าการกระทำและพฤติกรรมของบุคคลในสังคม เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเลือกกระทำ ซึ่งหมายถึงจริยธรรมของแต่ละบุคคลแต่ละสังคม เช่น ค่านิยมการแต่งตัว การบริโภค การประหยัด การอดทน เป็นต้น ค่านิยมเหล่านี้ฝักรากลึกในจิตใจจะเรียกว่า คุณธรรม และถ้าประพฤติออกมาด้วย จะเรียกว่า จริยธรรม
คุณธรรม Virtue
คุณธรรม ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2546 หมายถึง สภาพคุณงามความดี
วศิน อินทสระ (2541: 106,113) กล่าวตามหลักจริยศาสตร์ว่า คุณธรรม คือ อุปนิสัยอันดีงามซึ่งสั่งสมอยู่ในดวงจิต อุปนิสัยอันนี้ได้มาจากความพยายามและความประพฤติติดต่อกันมาเป็นเวลานาน คุณธรรมสัมพันธ์กับหน้าที่อย่างมาก เพราะการทำหน้าที่จนเป็นนิสัย จะกลายเป็นอุปนิสัยอันดีงามที่สั่งสมในดวงจิตเป็นบารมี มีลักษณะอย่างเดียวกันนี้ ถ้าเป็นฝ่ายชั่ว เรียกว่า “อาสวะ” คือ กิเลสที่หมักหมมในดวงจิต ย้อมจิตให้เศร้าหมองเกรอะกรังด้วยความชั่วนานาประการกลายเป็นสันดานชั่ว ทำให้แก้ไขยากสอนยาก กล่าวโดยสรุป คุณธรรมคือความล้ำเลิศแห่งอุปนิสัยซึ่งเป็นผลของการกระทำจนกลายเป็นนิสัย
พระธรรมปิฎก(ป.อ. ป ยุตโต) (2538, น. 15) ได้ให้ความหมาย จริยธรรม หมายถึง มรรค คือวิธีปฏิบัติสายกลาง เพื่อนำมนุษย์ไปสู่จุดหมายของชีวิต
Virtue ตามความหมายของ Wikipedia หมายถึง คุณลักษณะในทางที่ดี
จากความหมายที่นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ไว้ คุณธรรม หมายถึง คุณงามความดีที่สั่งสมในจิตใจมนุษย์โดยผ่านการเรียนรู้หรือประสบการณ์ต่าง ๆ หรือความดีงามที่อยู่ในจิตใจหรือจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคลหรือหลักธรรมที่รู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีซึ่งฝังรากอยู่ในจิตใจ
จริยธรรม Morality
จริยธรรม มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลีสันสกฤต คือ
จริย ความประพฤติ การปฏิบัติ หรือกริยาที่ควรประพฤติ
ธรรม คุณงามความดี บุญกุศล กฏ ข้อบังคับ หลักคำสอนทางศาสนา เป็นต้น
จริยธรรม ตามความหมายของพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2546 หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติ ปฏิบัติ หรือศีลธรรม หรือกฏศีลธรรม
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมมจิตโต) (2538: 2) ให้แนวคิดว่าจริยธรรม คือ หลักแห่งความประพฤติดีงามสำหรับทุกคนในสังคม ถ้าเป็นข้อปฏิบัติทั่วไป เรียกว่าจริยธรรม ถ้าเป็นข้อควรประพฤติที่มีสาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เรียกว่า ศีลธรรม แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า จริยธรรมอิงอยู่กับหลักคำสอนทางศาสนาเพียงอย่างเดียว แท้ที่จริงนั้นยังหยั่งรากอยู่บนขนบธรรมเนียมประเพณี แม้นักปราชญ์คนสำคัญ เช่น อริสโตเติล คานท์ มหาตมะคานธี ก็มีส่วนสร้างจริยธรรมสำหรับเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตของคนจำนวนหนึ่ง
Morality ตามความหมายของ Wikipedia หมายถึง หลักธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติในหมู่คณะ, ศีลธรรม,กฎศีลธรรม
จากความหมายที่นักการศึกษาหลายท่านได้ให้ไว้ จริยธรรม หมายถึง คุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวัง เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของสังคม หรือประพฤติตามค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยเน้นที่การประพฤติชอบ คือ หลักของการประพฤติหรือแนวทางของการประพฤติ (ดวงเด่น นุเรนรัมย์) ซึ่งต่างจากศีลธรรมตรงที่ ศีลธรรม คือ สิ่งที่กำลังประพฤติอยู่หรือประพฤติแล้ว โดย จริยธรรมหรือMorality จะอยู่ในรูปของปรัชญาเป็นความหมายที่กว้างกว่าศีลธรรม
2.ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณ
ตอบ ค่านิยม Value
ค่านิยม เป็นสิ่งที่ยึดถือกันว่า มีคุณค่าแก่ตนเอง หรือแก่สังคม เป็นสิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติเป็นมาตรฐาน เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลในสังคม เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเลือกกระทำในลักษณะเฉพาะ ซึ่งหมายถึงจริยธรรมของแต่ละบุคคลและแต่ละสังคม
คุณธรรม Virtue
คุณธรรม เป็นคุณลักษณะของความรู้สึกนึกคิด หรือสภาวะจิตใจที่เป็นไปในแนวทางที่ถูกต้องและดีงาม ที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของมนุษย์เป็นเวลายาวนาน เป็นตัวกระตุ้นให้มีการประพฤติปฏิบัติอยู่ในกรอบที่ดีงาม คุณธรรมเป็นสิ่งที่ดีงามทางจิตใจ เป็นคุณค่าของชีวิตในการบำเพ็ญประโยชน์ ช่วยเหลือเกื้อกูลแก่เพื่อนมนุษย์ ให้เกิดความรักสามัคคี ความอบอุ่นมั่นคงในชีวิต ดังนั้นคุณธรรมเป็นบ่อเกิดของจริยธรรม
จริยธรรม Morality
จริยธรรม เป็นความประพฤติ กริยาหรือสิ่งที่ควรประพฤติ ปฎิบัติ ในทางที่ถูกต้อง ดีงามและเหมาะสม ซึ่งจะสะท้อนคุณธรรม คุณธรรมเป็นลักษณะความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในแต่ละบุคคล ส่วนจริยธรรมเป็นลักษณะการแสดงออกของร่างกาย ทางการประพฤติปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
จรรยาบรรณ Ethics
จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพแต่ละอาชีพกำหนดขึ้นเพื่อรักษา และส่งเสริมเกียรติคุณชื่อเสียงรวมถึงฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2538 : 214 )
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ การกำหนดขอบเขตของคำว่า “กฎหมาย”ซึ่ง John Austin นิยามไว้ว่า หมายถึง “กฎเกณฑ์ที่วางลงเพื่อเป็นเครื่องชี้นำของคนที่มีสติปัญญาโดยคนที่มีสติปัญญาให้มีอำนาจเหนือพวกเขา” กฎหมายก่อตั้งโดยมนุษย์และมอบให้แก่มนุษย์จึงเรียกว่ากฎหมายบ้านเมืองส่วนกฎหมายที่ก่อตั้งโดยพระเจ้าและมอบให้แก่มนุษย์เรียกว่า กฎหมายธรรมชาติ Austin เชื่อว่าข้อกำหนดในความประพฤติทางศีลธรรมอยู่ในขอบเขตของกฎหมายธรรมชาติ
กฎหมาย
1.กฎหมายหมายถึงกฎเกณฑ์ที่เป็นระบบซึ่งควบคุมทั้งสังคมและการกระทำของสมาชิกแต่ละคน
2.กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์และข้อบังคับ
3.กฎหมายปกครองโดยรัฐบาล
4.กฎหมายสามารถแสดงออกและเผยแพร่ต่อสาธารณะได้โดยการทำให้เป็นลายลักษณ์อักษร
5.การละเมิดกฎหมายไม่ได้รับอนุญาตซึ่งอาจส่งผลให้มีการลงโทษเช่นจำคุกหรือปรับหรือทั้งสองอย่าง
6.กฎหมายถูกสร้างขึ้นโดยมีเจตนาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยและความสงบสุขในสังคมและให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนทุกคน
จริยธรรม
1.จริยธรรมเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาคุณธรรมที่แนะนำผู้คนเกี่ยวกับความประพฤติพื้นฐานของมนุษย์
2.จริยธรรมเป็นแนวทางที่วางไว้เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ แบ่งแยกความผิดชอบชั่วดีด้วยสิ่งที่มนุษย์ควรกระทำ
3.ปกครองโดยบรรทัดฐานส่วนบุคคลกฎหมายและวิชาชีพ
4.แสดงออกและเผยแพร่เป็นนามธรรม คือ กระบวนการคิด ปรุงแต่งด้วยจิตก่อเกิดความรู้สึก อารมณ์ และก่อเกิดความหมายด้วยความคิด เข้าใจได้ตามลักษณะจากรูปธรรม
5.จริยธรรมไม่มีลักษณะผูกพัน การละเมิดจริยธรรมไม่มีการลงโทษ
6.วัตถุประสงค์ของจริยธรรมถูกสร้างขึ้นเพื่อช่วยให้ผู้คนตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกหรือผิดและหนทางที่ถูกต้องควรทำอย่างไร
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ กฎหมาย เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่มีบทโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนอย่างชัดเจน เป็นการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับต่ำ เพื่อให้เกิดความเรียบร้อยในสังคมที่มีการจัดระเบียบทางการเมืองและศีลธรรม เป็นการควบคุมเพื่อปกป้อง และเพื่อประโยชน์ของสังคมโดยรวม
1.เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์
2.มีบทลงโทษชัดเจน
3.เป็นการควบคุมพฤติกรรมภายนอก
4.เป็นข้อบังคับของรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร
5.เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการที่ต้องทำหรือต้องละเว้นมาสามารถหลีกเลี่ยงได้
จริยธรรม เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่ไม่มีการลงโทษชัดเจนเหมือนกฎหมาย แต่เป็นการควบคุมทางสังคม ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับสูง การวางหลักเกณฑ์ความดี ความชั่ว ความถูก และความผิด ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตามเพื่อควบคุมพฤติกรรมภายใน โดยเน้นการสร้างจิตสำนึกให้ตระหนักรู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้อย่างแน่ชัดก็ตาม
1.เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์
2.ไม่มีการลงโทษด้วยกฎหมายแต่ลงโทษด้วยสังคม
3.เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน
4.เป็นข้อบังคับของสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
5.เป็นเรื่องของจิตใต้สำนึกที่ทำแล้วเห็นว่าถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ
ข้อ4 ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ในแง่ง่าย กฎหมาย อาจถูกเข้าใจว่าเป็นชุดของกฎและระเบียบที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลที่สร้างขึ้นโดยหน่วยงานที่เหมาะสมเช่นรัฐบาลซึ่งอาจเป็นภูมิภาคระดับชาติระดับนานาชาติ ฯลฯ ใช้เพื่อควบคุมการกระทำและพฤติกรรมของ สมาชิกและสามารถบังคับใช้โดยกำหนดบทลงโทษ
หลายครั้งที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำว่าจริยธรรม แต่มีความแตกต่างเนื่องจาก จริยธรรม เป็นหลักการที่ชี้นำบุคคลหรือสังคมสร้างขึ้นเพื่อตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดีถูกหรือผิดในสถานการณ์ที่กำหนด มันควบคุมพฤติกรรมหรือความประพฤติของบุคคลและช่วยให้บุคคลในการใช้ชีวิตที่ดีโดยใช้กฎและแนวทางปฏิบัติทางศีลธรรม
สำหรับคนธรรมดาคำสองคำนี้เหมือนกัน แต่ความจริงก็คือว่ามีความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรม อ่านบทความอย่างละเอียดเพื่อเอาชนะความคลุมเครือของคุณ
นิยามของกฎหมาย
กฎหมายได้รับการอธิบายเป็นชุดของกฎและระเบียบที่สร้างขึ้นโดยรัฐบาลในการควบคุมสังคมทั้งหมด กฎหมายเป็นที่ยอมรับยอมรับและบังคับใช้ในระดับสากล มันถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมความยุติธรรมในสังคมและเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนทั่วไปและปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา มันทำหลังจากพิจารณาหลักการทางจริยธรรมและค่านิยมทางศีลธรรม
กฎหมายทำขึ้นโดยระบบตุลาการของประเทศ ทุกคนในประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ชัดเจนกำหนดสิ่งที่คนต้องหรือไม่ต้องทำ ดังนั้นในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎหมายอาจส่งผลให้มีการลงโทษหรือลงโทษหรือบางครั้งทั้งคู่
คำจำกัดความของจริยธรรม
โดยจรรยาบรรณเราหมายถึงสาขาของปรัชญาคุณธรรมที่ชี้นำผู้คนเกี่ยวกับสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มันคือชุดของแนวคิดพื้นฐานและหลักการของตัวละครในอุดมคติของมนุษย์ หลักการช่วยเราในการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกหรือผิด มันแจ้งให้เราทราบเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงและตัดสินให้มีทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับตัวเราเองจริยธรรมเป็นจรรยาบรรณที่ได้รับการเห็นชอบและนำมาใช้โดยประชาชน มันกำหนดมาตรฐานว่าบุคคลควรมีชีวิตและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร
ข้อสรุป
กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระและเลือก
ข้อ2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ตอบ จริยธรรม คือคุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวังให้ค้านในสังคมนั้นประพฤติ มีความถูกต้องในความประพฤติ มีเสรีภาพภายในขอบเขต
คุณธรรม คือ พฤติกรรมที่แสดงถึงมาตรฐานทางศีลธรรมและเป็นรูปแบบของความคิดและการกระทำบนพื้นฐานของมาตรฐานทางศีลธรรม
จรรยาบรรณ คือ จริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพที่องค์กรวิชาชีพกำหนดขึ้นให้คนในองค์กรของตนประพฤติปฏิบัติ
จริยศาสตร์คือวชิาที่ว่าด้วยความประพฤติว่าด้วยความดีความชั่ว ความถูกความผิด สิ่งที่ควรเว้น สิ่งที่
ควรทำ
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
1)จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
2)จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
3)ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
4)จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
5)ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
6)จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
ข้อสรุป
ในขณะที่จริยธรรมถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาและยังคงเหมือนเดิมสำหรับมนุษย์ทุกคน ค่านิยมมีวิธีการแบบปัจเจกนิยมนั่นคือมันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ยังคงมีความเสถียรไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเนื่องจากเหตุการณ์ทางอารมณ์ที่สำคัญ
ข้อ.3 หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
1.หลักการพื้นฐาน
จริยธรรม ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม
กฎหมาย เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
2.ผู้ตัดสินความผิด
จริยธรรม บุคคลผู้กระทำ
กฎหมาย การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3.บทลงโทษ
จริยธรรม การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม
กฎหมาย ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.การบังคับใช้
จริยธรรม ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
กฎหมาย ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านชีววิทยาศาสตร์ (bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่งสิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น “เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม และกฎหมาย จึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม (ethical-legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโชยน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่าหลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชม คำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้อง “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (thesovereign birth of low)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอย่ในใจซึ่งได้ปรากฎออกมาเป็นวามปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยหลักจริยธรรมของสังคมมนุษย์
ข้อ4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
1)กฎหมายถูกกำหนดให้เป็นระบบกฎเกณฑ์ที่ควบคุมทั้งสังคมและการกระทำของสมาชิกแต่ละคน จริยธรรมหมายถึงศาสตร์แห่งการประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานของมนุษย์
2)กฎหมายประกอบด้วยชุดของกฎและข้อบังคับในขณะที่จริยธรรมประกอบด้วยแนวทางและหลักการที่แจ้งให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตหรือวิธีการปฏิบัติตนในสถานการณ์เฉพาะ
3)กฎหมายถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลซึ่งอาจเป็นในระดับท้องถิ่นภูมิภาคระดับประเทศหรือระหว่างประเทศ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมถูกควบคุมโดยบรรทัดฐานของบุคคลกฎหมายหรือวิชาชีพเช่นจรรยาบรรณในการทำงานจริยธรรมสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ
4)กฎหมายมีการแสดงออกในรัฐธรรมนูญในรูปแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษร ตรงข้ามกับจริยธรรมไม่สามารถพบได้ในรูปแบบการเขียน
5)การฝ่าฝืนกฎหมายอาจส่งผลให้มีการลงโทษหรือลงโทษหรือทั้งสองอย่างที่ไม่ได้อยู่ในการละเมิดจริยธรรม
6)วัตถุประสงค์ของกฎหมายคือการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศและคุ้มครองประชาชนทุกคน แตกต่างจากจริยธรรมที่เป็นจรรยาบรรณที่ช่วยให้บุคคลตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดและวิธีการปฏิบัติ
7)กฎหมายสร้างความผูกพันทางกฎหมาย แต่จริยธรรมไม่มีผลผูกพันกับประชาชน
ข้อสรุป
กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระและเลือก
รหัส 62423471006 รุ่น 44
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรม
ตอบ -ค่านิยม (Value) คำว่าค่านิยม มาจากคำว่า ค่า (คุณค่า) บวกกับคำว่า นิยม ก็หมายความว่า สิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าได้รับความนิยมชมชอบจาก บุคคล หรือ สังคม สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น รูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้
ค่านิยมเป็นสิ่งที่ยึดถือกันว่า มีคุณค่าแก่ตนเอง หรือแก่สังคม เป็นสิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติ ค่านิยมยังเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลในสังคม เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเลือกกระทำ ซึ่งหมายถึงจริยธรรมของแต่ละบุคคลและแต่ละสังคม
-คุณธรรม (Morality) อุปนิสัยอันดีงาม ซึ่งสั่งสมอยู่ในดวงจิต คุณธรรมมีความสัมพันธ์กับการทำหน้าที่จนเป็นนิสัย จนกลายมาเป็นอุปนิสัยอันดีงาม ทำให้จิตอยู่ในภาวะดีงาม พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ซึ่งเป็นรากฐานของจริยธรรม
-จริยธรรม ( Moral )เป็นการเพ่งเล็งไปในทางการปฏิบัติมากกว่าหลักวิชาการ เป็นระบบการทำความดี ละเว้นความชั่ว และเป็นลักษณะของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของความประพฤติปฏิบัติในสังคม อันเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทำนั้นผิดหรือถูกโดยสังคมเป็นผู้ตัดสิน
สรุป ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
-จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
-ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามกฎหมาย นอกจากนี้จริยธรรมยังเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมาย ความแตกต่างหลัก ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตาม
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคือะไร
-กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระ
1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
1.1 ค่านิยม (Value) หมายถึง
-Rokeach(1973)ให้ความหมายของค่านิยม คือ ความเชื่อว่าสำคัญ (Belief to be important)
-มีนักวิชาการได้ให้ความหมายของค่านิยมโดยสรุปรวม คือ สิ่งที่บุคคลเห็นว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากกว่าสิ่งอื่นๆในกาลเทศะหนึ่งๆ แตกต่างไปตามกลุ่มบุคคลและวัฒนธรรม เช่น การศึกษาสูง แต่บางสังคมเห็นว่าการศึกษาไม่สำคัญ
- ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่บุคคลพอใจหรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แล้วยอมรับไว้เป็นความเชื่อ หรือความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ค่านิยมจะสิงอยู่ในตัวบุคคลในรูปของความเชื่อตลอดไป จนกว่าจะพบกับค่านิยมใหม่ ซึ่งตนพอใจกว่าก็จะยอมรับไว้ เมื่อบุคคลประสบกับ การเลือกหรือเผชิญกับเหตุการณ์ ละต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าจะนำค่านิยมมาประกอบการตัดสินใจทุกครั้งไป ค่านิยมจึงเป็นเสมือนพื้นฐานแห่งการประพฤติ ปฏิบัติของบุคคลโดยตรง
1.2 คุณธรรม (Virtue) นักวิชาการในสาขานี้ ให้ความหมายโดยสรุปว่า เป็นสิ่งที่บุคคลเห็นว่าดีงาม มีประโยชน์มาก และเลวน้อย มีประโยชน์น้อยในกาลเทศะหนึ่งๆ เช่น ความเอื้อเฟื้อ ความอดทน ความขยันขันแข็ง ความซื้อสัตย์ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การมีระเบียบวินัย เป็นต้น
- คุณธรรม คือ ความดีงามที่ถูกปลูกฝังขึ้นในจิตใจ มีความกตัญญู ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ สามัคคี มีวินัย มีน้ำใจ และ เป็นสุภาพชน เป็นต้น จนเกิดจิตสำนึกที่ดี รู้สึกรับผิดชอบ ชั่ว ดี เกรงกลัวต่อการกระทำความชั่ว โดยประการต่างๆ เมื่อจิตเกิดคุณธรรมขึ้นแล้ว จะทำให้เป็นผู้มีจิตใจดี และคิดแต่สิ่งที่ดี จึงได้ชื่อว่า “เป็นผู้มีคุณธรรม”
1.3 จริยธรรม (Ethics) หมายถึง
-ศาสตราจารย์ ดร. สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์ เห็นว่า จริยธรรม หมายถึง ความถูกต้องดีงาม สังคมทุกสังคมจะกำหนดกฎเกณฑ์กติกา บรรทัดฐานของตนเองว่า อะไรเป็นสิ่งที่ดีงาม และอะไรคือความถูกต้อง โดยทั่วไปมิได้มีการเขียนเป็นกฎข้อบังคับให้สมาชิกทุกคนต้องยึดถือปฏิบัติตาม ซึ่งหากมีการละเมิดจะถูกลงโทษโดยสังคมในขณะเดียวกัน
2. ข้อแตกต่างระหว่างค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
- คุณธรรม หมายถึง คุณงามความดีที่สั่งสมในจิตใจมนุษย์โดยผ่านการเรียนรู้หรือประสบการณ์ต่างๆ หรือ ความดีงามที่อยู่ในจิตใจ หรือจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล หรือหลักธรรมที่รู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีซึ่งฝังรากอยู่ในจิตใจ
- จริยธรรม หมายถึง คุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวัง เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของสังคม หรือประพฤติตามค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยเน้นที่การประพฤติชอบ
-ค่านิยม เป็นความคิดหรือสิ่งที่ยอมรับว่าดีมีคุณค่าหรือ เป็นการยอมรับนับถือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนในสังคม หรือ เป็นสิ่งกำหนดคุณค่าการกระทำของมนุยษ์ เช่น ค่านิยมการแต่งตัวของคนอีสาน ค่านิยมการไว้ทรงผมของเด็กวัยรุ่น เป็นต้น ซึ่งอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้
-จรรยาบรรณ คือ กระบวนความประพฤติที่กลุ่มวิชาชีพหรือสมาคมร่วมกันพิจารณากำหนดขึ้นเพื่อให้สมาชิกในกลุ่มหรือในสังคมนั้นยึดถือ
●คุณธรรม กับ จริยธรรม คือคุณธรรม เป็นคุณสมบัติภายในใจใดๆ ส่วนจริยธรรม เป็น สิ่งที่ควรประพฤติ
สรุปได้ว่า คุณธรรม และจริยธรรม หมายถึง คุณงามความดีของบุคคลที่กระทำด้วยความสำนึกดีในจิตใจ โดยยึดถือจนเป็นความเคยชิน
บางครั้งคำสองคำนี้ มักถูกใช้ควบคู่กันคุณธรรมจริยธรรม
●จริยธรรม กับ จรรยาบรรณ จริยธรรมการปฏิบัติตามกฎระเบียบ จรรยาบรรณ สิ่งที่ยึดถือและควรปฏิบัติ
●ค่านิยม ก็เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลา
3. หลักการแบ่งแยกกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านชีววิทยาศาสตร์ (bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่งสิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอย่ในใจซึ่งได้ปรากฎออกมาเป็นวามปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยหลักจริยธรรมของสังคมมนุษย์
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
กฎหมาย หมายถึง กฎหมาย เป็นกฎเกณฑ์ ข้อบังคับที่ใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ในสังคม กฎหมาย มีลักษณะเป็นคำสั่ง ข้อห้าม ที่มาจากผู้มีอำนาจสูงสุดในสังคมใช้บังคับได้ทั่วไป ใครฝ่าฝืนจะต้องได้รับโทษหรือสภาพบังคับอย่างใดอย่างหนึ่ง
จริยธรรม หมายถึง คุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวัง เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของสังคม หรือประพฤติตามค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยเน้นที่การประพฤติชอบ
●กฎหมาย
-เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่มีการลงโทษอย่างชัดเจน
-เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์
-มีบทลงโทษชัดเจน
-เป็นการควบคุมพฤติกรรมภายนอก
-เป็นข้อบังคับของรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร
-เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการที่ต้องทำหรือต้องละเว้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
●จริยธรรม
-เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่ไม่มีการลงโทษชัดเจนดังเช่นกฎหมาย แต่เป็นการควบคุมในสังคม
-เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์
-ไม่มีการลงโทษตามกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคม
-เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน
-เป็นข้อบังคับของสังคมไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
-เป็นเรื่องของจิตสำนึกที่ทำเพราะเห็นว่าถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ
1อธิบายวามหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมเเละจริยธรรม
1.1 ค่านิยม หมายถึง วิธีจัดรูปพฤติกรรมของมนุษย์ที่ฝังแน่นอยู่ในตัวคน และเป็นสิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติกันต่อๆ มา หรืออาจหมายถึง การยอมรับนับถือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนที่มีอยู่ต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจเป็นวัตถุ มนุษย์ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ รวมทั้งการกระทำด้านเศรษฐกิจ สังคม จริยธรรม และสุนทรียภาพ โดยได้ประเมินค่าจากทัศนคติต่างๆ
1.2 คุณธรรม คือ ความดีงามที่ถูกปลูกฝังขึ้นในจิตใจ มีความกตัญญู ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ สามัคคี มีวินัย มีน้ำใจและเป็นสุภาพชน เป็นต้นจนเกิดจิตสำนึกที่ดี รู้สึกรับผิดชอบ ชั่ว ดี เกรงกลัวต่อการกระทำความชั่ว โดยประการต่างๆ เมื่อจิตเกิด คุณธรรมขึ้นแล้ว จะทำให้เป็นผู้มีจิตใจดี และคิดแต่สิ่งที่ดี จึงได้ชื่อว่า เป็นผู้มีคุณธรรม คุณธรรมเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงมาตรฐานทางศีลธรรม และเป็นรูปแบบของความคิดและการกระทำบนพื้นฐานของ มาตรฐานทางศีลธรรม คุณธรรมอาจนับรวมในบริบทกว้างๆของค่านิยม
1.3 จริยธรรม หมายถึง คุณสมบัติทางความประพฤติ ที่สังคมมุ่งหวังให้คนในสังคมนั้นประพฤติ มีความถูกต้องในความประพฤติ มีเสรีภาพภายในขอบเขตของมโนธรรม (Conscience) เป็นหน้าที่ที่สมาชิกในสังคมพึงประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคม ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นในสังคม การที่จะปฏิบัติให้เป็นไปเช่นนั้นได้ ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
2. ข้อแตกต่างระหว่างค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
จริยธรรมและค่านิยมร่วมกันวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะใช้คำพ้องความหมายต่างกัน แต่ใน ทางกลับกันจริยธรรม นั้นเป็นชุดของกฎที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มหรือวัฒนธรรม ค่านิยม หมายถึงความเชื่อที่บุคคลมีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน
จริยธรรมและค่านิยมมีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของชีวิตเมื่อเราต้องเลือกระหว่างสองสิ่งโดยที่จริยธรรมจะกำหนดสิ่งที่ถูกต้องค่าจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่สำคัญ
ในโลกแห่งการแข่งขันที่ดุเดือดองค์กรธุรกิจทุกแห่งต่างก็ทำงานบนหลักการและความเชื่อที่แน่นอน มีการดำเนินการด้านจริยธรรมในองค์กรเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นลูกค้าซัพพลายเออร์พนักงานสังคมและรัฐบาล อ่านบทความต่อไปนี้เพื่อทราบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม ขณะที่จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกําหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือไม่ก็ได้
3.หลักการแบ่งแยกกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
คือ กำหนดด้วยจริยธรรมและกำหนดด้วยกฎหมาย ซึ่งทั้ง 2 วิธีการนี้มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ การ
สร้างความเป็นระเบียบและความเรียบร้อย รวมทั้งคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคล
แต่ทั้งจริยธรรมและกฎหมายนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากในหลายประเด็นซึ่งเกิดเป็นปัญหาขึ้น
จริยธรรมอาจจะครอบคลุม หรือไม่ครอบคลุมโดยกฎหมายก็ได้
ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
1. หลักการพื้นฐาน
จริยธรรม : ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
2. ผู้ตัดสินความผิด
จริยธรรม : บุคคลผู้กระทำ
กฎหมาย : การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3. บทลงโทษ
จริยธรรม : การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม
กฎหมาย : ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. การบังคับใช้
จริยธรรม : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
กฎหมาย : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
กฎหมาย แต่มักจะนิยามว่าเป็นระบบที่บังคับใช้ชุดของกฎและแนวทางในการควบคุมพฤติกรรมทางสังคม กฎหมายถูกกำหนดให้เป็นข้อบังคับที่กำหนดโดยอำนาจการปกครองด้วย กฎเหล่านี้อธิบายถึงวิธีการที่ผู้คนจะต้องปฏิบัติซึ่งกันและกันในสังคม เป็นข้อกำหนดในการดำเนินการในลักษณะที่เป็นที่ยอมรับในสังคม แม้ว่าภายใต้อำนาจกฎหมายเหล่านี้ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางยอมรับโดยทั่วไปและมักจะบังคับ
ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมเป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่เป็นการศึกษาคุณค่าหรือคุณภาพ มันครอบคลุมการวิเคราะห์แนวคิดเช่นถูกผิดดีชั่วร้ายความยุติธรรมและความรับผิดชอบ พยายามกำหนดสิ่งที่ดีสำหรับสังคมและบุคคล นอกจากนี้ยังพยายามที่จะสร้างชุดของหน้าที่ที่คนเป็นหนี้กับตัวเองและคนอื่น ๆ จริยธรรมมาจากคำภาษากรีกว่า 'ethos' ซึ่งแปลว่า 'เกิดจากนิสัย' ค่าเหล่านี้มาจากภายในด้านศีลธรรมและความปรารถนาที่จะรักษาความเคารพตนเอง
จริยธรรมเกี่ยวข้องกับตัวเองด้วยสาเหตุและวิธีการที่ควรปฏิบัติ มันได้มาจากทฤษฎีที่กว้างขวางของถูกและผิดซึ่งก่อให้เกิดกฎการดำเนินการ กฎเหล่านี้กำหนดมาตรฐานพฤติกรรมของบุคคลกับสังคมของเขา จากสิ่งนี้กฎหมายได้รับชุดของกฎเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับสังคม แม้ว่ากฎหมายเป็นอนุพันธ์ทางจริยธรรม แต่กฎหมายไม่ได้มุ่งเน้นที่การส่งเสริมความคิดทางสังคม แต่เป็นการส่งเสริมการประชุมของสังคมที่ดี
จริยธรรมและกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้คำแนะนำและความมั่นคงให้กับประชาชนและสังคมโดยรวม แม้ว่าจรรยาบรรณและกฎหมายจะไปด้วยกันมันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างคำสองคำ การเชื่อมต่อระหว่างกฎหมายและจริยธรรมนั้นขึ้นอยู่กับการรับรู้เพราะบ่อยครั้งสิ่งที่ถูกมองว่าผิดจรรยาบรรณมักจะถือว่าผิดกฎหมาย แม้ว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
กฎหมายไม่ได้ห้ามการกระทำหลายอย่างที่จะถูกตราหน้าว่าผิดจรรยาบรรณ ตัวอย่างเช่นการโกหกหรือทรยศความเชื่อมั่นของเพื่อนนั้นไม่ผิดกฎหมาย แต่คนส่วนใหญ่คิดว่ามันผิดจรรยาบรรณ นอกจากนี้การเร่งความเร็วยังผิดกฎหมาย แต่หลายคนอาจไม่มีความขัดแย้งทางจริยธรรมใด ๆ ที่เกินขีด จำกัด ความเร็ว ดังนั้นกฎหมายจึงเป็นมากกว่าแค่การกำหนดบรรทัดฐานทางจริยธรรม
1อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมเเละจริยธรรม
ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม” ทิศนา (2546) ได้อธิบายถึงความหมายไว้ว่า ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
2. ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง จริยธรรมและค่านิยมร่วมกันวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะใช้คำพ้องความหมายต่างกัน แต่ใน ทางกลับกันจริยธรรม นั้นเป็นชุดของกฎที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มหรือวัฒนธรรม ค่านิยม หมายถึงความเชื่อที่บุคคลมีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน
จริยธรรมและค่านิยมมีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของชีวิตเมื่อเราต้องเลือกระหว่างสองสิ่งโดยที่จริยธรรมจะกำหนดสิ่งที่ถูกต้องค่าจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่สำคัญ
3. หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย1. หลักการพื้นฐาน
จริยธรรม : ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
2. ผู้ตัดสินความผิด
จริยธรรม : บุคคลผู้กระทำ
กฎหมาย : การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3. บทลงโทษ
จริยธรรม : การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม
กฎหมาย : ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. การบังคับใช้
จริยธรรม : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
กฎหมาย : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
จริยธรรม
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์
2. ไม่มีการลงโทษตามกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคม
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน
4. เป็นข้อบังคับจากสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นเรื่องของจิตสำนึก ทำเพราะเห็นว่าถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ
กฏหมาย
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์
2. มีบทลงโทษที่ชัดเจน
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายนอก
4. เป็นข้อบังคับจากรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นบทบัญญัติว่าต้องทำหรือต้องละเว้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ข้อ1 อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
คุณธรรม นักวิชาการในสาขานี้ให้ความหมายโดยสรุปว่า เป็นสิ่งที่บุคคลเห็น ว่าดีงามมาก มีประโยชน์มาก และเลวน้อย มีประโยชน์น้อย ในกาลเทศะหนึ่ง ๆ เช่น ความเอื้อเฟื้อ ความ อดทน ความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การมีระเบียบวินัย
จริยธรรม จริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อค่านิยมหรือ คุณธรรม ตั้งแต่ ๒ ตัวขัดแย้งกัน ทําให้บุคคลต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการ เลือกที่จะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง เช่น ความกตัญญูต่อบุคคล ขัดแย้งกับความ รับผิดชอบต่อหน้าที
ค่านิยม หมายถึง สิ่งสําคัญซึ่งนักวิชาการสามารถวัดได้ในหลายรูปแบบ เช่น การให้เรียงลําดับความสําคัญของลักษณะต่างๆาม อดทน ความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การมีระเบียบวินัย
1.สิ่งสําคัญซึ่งนักวิชาการสามารถวัดได้ในหลายรูปแบบ เช่น การให้เรียงลําดับความสําคัญของลักษณะต่างๆ
2. การรวมกลุ่มของความเชื่อ ความคิด และความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อบุคคลในการเลือก/การประเมินบุคคลและสถานการณ์อื่น และความคิดเห็น ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคล
3.สิ่งที่น่าปรารถนาของบุคคล ในด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ศาสนา
4.สิ่งที่น่าปรารถนา มีลักษณะที่ดีงาม ถูกต้อง ใกล้เคียง กับคุณธรรมและจริยธรรม
ข้อ2. ข้อแตกต่างระหว่างค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณจริยธรรมมีอะไรบ้าง
จริยธรรมและค่านิยมร่วมกันวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะใช้คำพ้องความหมายต่างกัน แต่ใน ทางกลับกันจริยธรรม นั้นเป็นชุดของกฎที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มหรือวัฒนธรรม ค่านิยม หมายถึงความเชื่อที่บุคคลมีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน
จริยธรรมและค่านิยมมีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของชีวิตเมื่อเราต้องเลือกระหว่างสองสิ่งโดยที่จริยธรรมจะกำหนดสิ่งที่ถูกต้องค่าจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่สำคัญ
ในโลกแห่งการแข่งขันที่ดุเดือดองค์กรธุรกิจทุกแห่งต่างก็ทำงานบนหลักการและความเชื่อที่แน่นอน มีการดำเนินการด้านจริยธรรมในองค์กรเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นลูกค้าซัพพลายเออร์พนักงานสังคมและรัฐบาล
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจริยธรรมและคุณค่าได้อธิบายไว้ในจุดด้านล่าง
1.จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
2.จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
3.ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
4.จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
5.ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
6.จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
-ข้อสรุป
ในขณะที่จริยธรรมถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาและยังคงเหมือนเดิมสำหรับมนุษย์ทุกคน ค่านิยมมีวิธีการแบบปัจเจกนิยมนั่นคือมันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ยังคงมีความเสถียรไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเนื่องจากเหตุการณ์ทางอารมณ์ที่สำคัญ
**ข้อ3. หลักการแบ่งแยกกระหว่างกฏหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
-ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทาง ธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความ ชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก
1.คือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจซึ่งได้ปรากฏ ออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการ กำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้ มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากใน ปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยง อยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการ ทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือ ความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยในหลักจริยธรรม ของสังคมมนุษย์
-สิ่งแรกที่สำคัญยิ่ง คือการกำหนดขอบเขตของคำว่า “กฎหมาย” ซึ่ง John Austin ได้นิยามไว้ว่า หมายถึง “กฎเกณฑ์ที่วางลงเพื่อเป็นเครื่องชี้นำของคนที่มีสติปัญญา โดยคนที่มีสติปัญญาให้มีอำนาจเหนือพวกเขา”กฎหมาย ก่อตั้งโดยมนุษย์และมอบให้แก่มนุษย์ จึงเรียกว่า กฎหมาย บ้านเมือง ส่วนกฎหมายที่ก่อตั้งโดยพระเจ้าและมอบให้แก่ มนุษย์ เรียกว่า กฎหมายธรรมชาติ Austin เชื่อว่าข้อ กำหนดในความประพฤติทางศีลธรรมอยู่ในขอบเขตของ กฎหมายธรรมชาติ
**ข้อที่4 ความแตกต่างระหว่างกฏหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง
-กฎหมายและจริยธรรมล้วนเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม แม้มีความหมายที่แตกต่างกัน กล่าวคือ กฎหมายเป็น เครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่มีการลงโทษอย่าง ชัดเจน ส่วนจริยธรรม เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคล ที่ไม่มีการลงโทษชัดเจนดังเช่นกฎหมาย หากแต่เป็นการ ควบคุมในทางสังคม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าจริยธรรมเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับสูง ส่วนกฎหมายเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับต่ำ จึงต้องมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนอย่างชัดเจน7 เช่น การห้ามฆ่าคน ในทาง กฎหมายถือเป็นการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ขั้นต่ำ หาก มนุษย์ฝ่าฝืน สังคมก็จะไม่ยอมรับและถือว่าผิดกฎหมาย แต่โดยหลักจริยธรรมนั้น ไม่เพียงแต่ห้ามมนุษย์ฆ่ากันเอง แต่ประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีความเมตตากรุณา และช่วย เหลือเกื้อกูลกันด้วย
ความแตกต่งของจริยธรรมและกฎหมาย
*จริยธรรม
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์
2. ไม่มีการลงโทษตามกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคม
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน
4. เป็นข้อบังคับจากสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นเรื่องของจิตสำนึก ทำเพราะเห็นว่าถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ
*กฎหมาย
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์
2. มีบทลงโทษที่ชัดเจน
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายนอก
4. เป็นข้อบังคับจากรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นบทบัญญัติว่าต้องทำหรือต้องละเว้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
วันเสาร์ที่24 เดือนเมษายน 2564
1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๙ (Spates, ๑๙๘๓) โดย Rokeach (๑๙๗๓) ได้ให้ความหมายของค่านิยมว่าหมายถึง “ความเชื่อว่าสําคัญ” (Belief to be important) ในสาขาจิตวิทยา คําทั้งสามมีใช้อยู่ และมีความหมายแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพื่อนําไปสู่ “การวัด” ในเนื้อหาและมิติที่แตกต่างกัน นักวิชาการได้ให้ความหมายของคําว่า “ค่านิยม" (Value) ซึ่ง สรุปรวมได้ว่า หมายถึง สิ่งที่บุคคลเห็นว่าเป็นสิ่งที่สําคัญมากกว่าสิ่งอื่น ๆ ในกาลเทศะหนึ่ง ๆ แตกต่างไป ตามกลุ่มบุคคลและวัฒนธรรม เช่น การมีการศึกษาสูง ความกตัญญูต่อบิดามารดา และครูอาจารย์ในบาง สังคมและวัฒนธรรมเห็นว่า สองสิ่งนี้สําคัญมาก แต่บางสังคมเห็นว่าการศึกษาสูง ๆ ไม่สําคัญ ส่วนความ กตัญญูเป็นสิ่งสําคัญในอันดับต่ำๆ เนื่องจากมีสิ่งอื่นสําคัญกว่าความกตัญญูเช่น ความรับผิดชอบต่อ ส่วนรวม และความเสียสละ เป็นต้น
คุณธรรม” (Virtue) นักวิชาการในสาขานี้ให้ความหมายโดยสรุปว่า เป็นสิ่งที่บุคคลเห็น ว่าดีงามมาก มีประโยชน์มาก และเลวน้อย มีประโยชน์น้อย ในกาลเทศะหนึ่ง ๆ เช่น ความเอื้อเฟื้อ ความ อดทน ความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การมีระเบียบวินัย เป็นต้น สิ่งที่เป็น คุณธรรมในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกัน การที่บุคคลในสังคมจะเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นกับวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ศาสนา และการศึกษาของสังคม นักวิชาการจึงเห็นว่าการนําเอาคุณธรรมใน สังคมหนึ่งไปยัดเยียดตัดสินคุณธรรมอีกสังคมหนึ่ง ย่อมไม่เหมาะสม ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว คุณธรรมมักมี ความเกี่ยวข้องกับหลักทางศาสนา อย่างไรก็ตาม ลักษณะบางด้านอาจเป็นได้ทั้งคุณธรรมและค่านิยมใน เวลาเดียวกัน เนื่องจากสังคมเห็นว่า ลักษณะด้านนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามและมีความสําคัญมากด้วย เช่น “รักสามัคคี” ในสมัยก่อน “รักสามัคคี” เป็นเพียงแค่คุณธรรมที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้ทรงตระหนักถึงความสําคัญของคุณธรรมตัวนี้ดังนั้นใน ปัจจุบันจึงอาจกล่าวได้ว่า “รักสามัคคี” เป็นทั้งคุณธรรมและค่านิยม
จริยธรรม” (Morality) (Piaget, ๑๙๓๒: Kohlberg, ๑๙๗๖) เป็นระบบของ การทําความดีละเว้นความชั่ว มีทั้งปัจจัยนําเข้า (Input) ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงเหตุทั้งทางด้านจิตใจและ สถานการณ์ของจริยธรรมและพฤติกรรมจริยธรรม รวมทั้งมีปัจจัยส่งออก (Output) ซึ่งเป็นผลของการมี จริยธรรมหรือมีพฤติกรรมจริยธรรม ซึ่งผลนี้อาจอยู่ในรูปแบบทั้งจิตลักษณะและพฤติกรรมของบุคคล ผู้กระทํา และผลต่อบุคคลอื่น ต่อกลุ่ม ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อโลก จริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อค่านิยมหรือ คุณธรรม ตั้งแต่ ๒ ตัวขัดแย้งกัน ทําให้บุคคลต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการ เลือกที่จะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง เช่น ความกตัญญูต่อบุคคล ขัดแย้งกับความ รับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นต้น บุคคลที่ตัดสินใจเลือกคุณธรรมหรือค่านิยม ตัวที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวม มากกว่าที่เป็นประโยชน์แก่เฉพาะตนหรือพวกพ้องในกลุ่มเล็ก ๆ จึงมักเป็นบุคคลที่มีจริยธรรมสูง ดังนั้น จริยธรรมจึงมีความหมายครอบคลุมทั้งสาเหตุกระบวนการ และผลของการกระทําความดีละเว้น ความชั่ว สําหรับจริยธรรมในการทํางาน คือ ระบบการทําความดีละเว้นความชั่วในเรื่องที่รับผิดชอบ และเกี่ยวข้องกับผู้ปฏิบัติเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การทํางาน เกี่ยวข้องกับกระบวนการทํางานและผลงาน ตลอดจนเกี่ยวข้องกับผู้รับประโยชน์หรือโทษจากผลงานนั้น (ดวงเดือน พันธุมนาวิน, ๒๕๓๘) โดยสรุป นักวิชาการได้ให้ความหมายของคําว่า จริยธรรมในขอบข่าย ๓ ประการ กล่าวคือ (สิทธิโชค วรานุสันติกูล, ๒๕๔๙) ประการที่หนึ่ง จริยธรรมในแบบการคิดหาเหตุผลที่ใช้ในการตัดสินใจที่จะกระทําหรือไม่ กระทําสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ประการที่สอง จริยธรรมในแบบความรู้สึกทางจิตใจ การศึกษาจริยธรรมของบุคคลในข้อนี้คือ ศึกษาค่านิยม ความเชื่อและความรู้สึกชอบและไม่ชอบ ประการที่สาม จริยธรรมในแบบของการแสดงออกภายนอก คือ การศึกษาจริยธรรมเป็นส่วน ที่เป็นพฤติกรรมภายนอกของบุคคล เช่น พฤติกรรมซื่อสัตย์เอื้อเฟื้อ เป็นต้น ความสัมพันธ์ของจริยธรรมในจรรยาข้าราชการนั้น ศาสตราจารย์ดร. ชัยพร วิชชาวุธ ได้ให้ ความหมายและแนวคิดไว้ดังนี้ (๒๕๕๒) จริยธรรม เป็นหลักการ (Principle) ที่บุคคลยึดถืออยู่ในใจในการตัดสิน ความถูก-ผิด ดี-เลว ควร-ไม่ควรทํา ของพฤติกรรมต่าง ๆ จริยธรรมของบุคคล อาจกําหนดตามหลักกฎหมาย ความเชื่อ และค่านิยมของบุคคลนั้นๆ
วันเสาร์ที่24 เดือนเมษายน 2564
2. ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
จริยธรรม เป็นหลักการ (Principle) ที่บุคคลยึดถืออยู่ในใจในการตัดสิน ความถูก-ผิด ดี-เลว ควร-ไม่ควรทํา ของพฤติกรรมต่าง ๆ จริยธรรมของบุคคล อาจกําหนดตามหลักกฎหมาย ความเชื่อ และค่านิยมของบุคคลนั้น ๆ
จรรยา ความประพฤติและการปฏิบัติที่ถือว่ามีความถูกต้อง ดีงาม ควรทํา ตามหลัก จริยธรรมของกลุ่มบุคคลในอาชีพหนึ่ง ๆ เช่น จรรยาแพทย์จรรยาข้าราชการ ฯลฯ และอาจกําหนดอย่าง ชัดเจนเป็นข้อ ๆ เรียกว่า จรรยาบรรณ (Code of Ethics)
ค่านิยม สิ่งที่น่าปรารถนา มีลักษณะที่ดีงาม ถูกต้อง ใกล้เคียง กับคุณธรรมและจริยธรรม
คุณธรรมและค่านิยมต่าง ๆ เป็นสาเหตุของการทําดีละเว้นความชั่วซึ่งคนมักเข้าใจว่า หาก บุคคลมีคุณธรรมและค่านิยมที่เหมาะสมแล้ว จะเป็นผู้มีพฤติกรรมทางจริยธรรมที่เหมาะสมด้วย แต่จาก การศึกษาวิจัยทางจิตวิทยาพบว่า การที่บุคคลรู้ว่าอะไรดีชั่วเหมาะสมหรือสําคัญนั้นไม่เพียงพอทําให้ เขามีพฤติกรรมตามนั้น (Wright, ๑๙๗๕) คนที่ทําผิดกฎหมายมิได้ทําไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์แต่ทําผิดทั้งที่รู้ว่าเป็นความผิด นักวิชาการพบว่า ลักษณะทางจิตใจที่จําเป็นต้องมีอยู่ในบุคคลและทําให้คน ทําความดีอย่างจริงจังและสม่ำเสมอคือ จริยธรรม
วันเสาร์ที่24 เดือนเมษายน 2564
3. หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะ ในด้านชีววิทยาศาสตร์(bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือ ในการควบคุมสังคมและต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่สิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูก และความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วย จริยธรรมในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง นับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น เหตุใดจึงไม่สามารถโคลนมนุษย์ได้ ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรมและกฎหมายจึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรมที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัยโดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยมในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรมและความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิด อันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง และลัทธิประโยชน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิดหากว่า หลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชมคำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถาม ที่เกี่ยวกับ “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรมซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of law) 4ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการประการแรกคือความ ชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีกประการหนึ่งคือความกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจซึ่งได้ปรากฏออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้ มิใช่ของใหม่เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยง อยู่ได้ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วยในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้โดยเฉพาะ อย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรมนั่นคือ ความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยในหลักจริยธรรม ของสังคมมนุษย์ สิ่งแรกที่สำคัญยิ่งคือการกำหนดขอบเขตของคำว่า “กฎหมาย” ซึ่ง John Austin ได้นิยามไว้ว่าหมายถึง “กฎเกณฑ์ที่วางลงเพื่อเป็นเครื่องชี้นำของคนที่มีสติปัญญาโดยคนที่มีสติปัญญาให้มีอำนาจเหนือพวกเขา”กฎหมาย ก่อตั้งโดยมนุษย์และมอบให้แก่มนุษย์ จึงเรียกว่ากฎหมายบ้านเมืองส่วนกฎหมายที่ก่อตั้งโดยพระเจ้าและมอบให้แก่ มนุษย์ เรียกว่า กฎหมายธรรมชาติ Austin เชื่อว่าข้อกำหนดในความประพฤติทางศีลธรรมอยู่ในขอบเขตของกฎหมายธรรมชาติ
วันเสาร์ที่24 เดือนเมษายน 2564
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
กฎหมายและจริยธรรมล้วนเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม แม้มีความหมายที่แตกต่างกัน กล่าวคือ กฎหมายเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่มีการลงโทษอย่าง ชัดเจน ส่วนจริยธรรม เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคล ที่ไม่มีการลงโทษชัดเจนดังเช่นกฎหมาย หากแต่เป็นการ ควบคุมในทางสังคม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าจริยธรรมเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับสูง ส่วนกฎหมายเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับต่ำจึงต้องมีบทลงโทษ สำหรับผู้ฝ่าฝืนอย่างชัดเจน7 เช่น การห้ามฆ่าคนในทาง กฎหมายถือเป็นการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ขั้นต่ำหาก มนุษย์ฝ่าฝืน สังคมก็จะไม่ยอมรับและถือว่าผิดกฎหมาย แต่โดยหลักจริยธรรมนั้น ไม่เพียงแต่ห้ามมนุษย์ฆ่ากันเอง แต่ประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีความเมตตากรุณา และช่วย เหลือเกื้อกูลกันด้วย8 อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายและจริยธรรม มีความ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ต่างก็มีบทบาทในทาง สังคมที่ส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะ กฎหมายไม ่อาจบัญญัติข้อห้ามหรือกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ จะต้องประพฤติปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางครอบคลุม ทุกกรณี ดังคำกล่าวที่ว่าลำพังแต่กฎหมายย่อมไม่อาจ ที่จะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของ จริยธรรม หรือศีลธรรมที่จะวางหลักเกณฑ์ความดีและ ความชั่ว ความถูก และความผิด ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตาม เพื่อควบคุมพฤติกรรมภายใน โดยเน้นการสร้างจิตสำนึก ให้ตระหนักรู่ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำแม้ไม่มีกฎหมาย บัญญัติไว้อย่างแน่ชัดก็ตาม ตัวอย่างที่ไม่อาจขีดเส้นแบ่งได้อย่างชัดเจนระหว่าง กฎหมายกับจริยธรรม ก็คือการค้นคว้าวิจัย และการทดลอง ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครอง ส่งเสริม และสนับสนุนการวิจัย ที่กำหนดให้ผู้วิจัยสามารถค้นคว้า และเผยแพร่งานวิจัย เพื่อพัฒนาความรู้ในศิลปะวิทยาการแขนงต่างๆ อย่าง รอบด้าน ไม่ว่าในทางวิทยาศาสตร์สังคมศาสตร์ และศาสตร์ อื่นๆ ทุกแขนง แต่กฎหมายดังกล่าวก็ไม่อาจวางหลักเกณฑ์ ให้สามารถควบคุมนักวิจัยให้อยู่ในระดับมาตรฐาน โดยให้ มีความรู้ความชำนาญยิ่งกว่านักวิชาการทั่วไป รวมทั้งให้ ความคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชนทั่วไป จากการวิจัย ที่อาจล่วงละเมิดต่อสิทธิส่วนบุคคล คงมีเพียงกฎหมาย ที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพในด้านการแพทย์ และ สาธารณสุข
1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ความหมายของค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม
“ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม” ทิศนา (2546) ได้อธิบายถึงความหมายไว้ว่า ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออก
ทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
ค่านิยม (Value) คำว่าค่านิยม มาจากคำว่า ค่า (คุณค่า) บวกกับคำว่า นิยม ก็หมายความว่า สิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าได้รับความนิยมชมชอบจาก บุคคล หรือ สังคม สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น รูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ (รองศาสตราจารย์โสภัณฑ์ นุชนาถ. 2548)
Dictionary of the Social Science (Cartir 1973:249) ให้คำจำกัดความของค่านิยมว่า“ค่านิยมเป็นความเชื่อ ความคิดที่คนสนใจและยึดถือเป็นมาตรฐาน (Standard) ในการประพฤติ”
โรคีช (Rokeach 1973) ให้ความเห็นว่า ค่านิยมเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งมีลักษณะถาวร โดยเชื่อว่าวิถีทางหรือจุดหมายปลายทางชีวิต เป็นสิ่งที่ตนหรือสังคมเห็นดี เห็นชอบ หรือสมควรที่จะยึดปฏิบัติมากกว่าวิถีชีวิต หรือเป้าหมายชีวิตอย่างอื่น
Dictionary of the Social Science(Cartir 1973:249) ให้คำจำกัดความของค่านิยมว่า“ค่านิยมเป็นความเชื่อ ความคิดที่คนสนใจและยึดถือเป็นมาตรฐาน (Standard) ในการประพฤติ”
- เครทซ์ และคณะ (Kreth and others 1972 :102) ให้คำจำกัดความของค่านิยมไว้ว่าเป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งใดเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ค่านิยม จะสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของสังคม และเป็นสิ่งที่สมาชิกในสังคมยึดถือร่วมกันอย่างกว้างขวาง บุคคลใดยอมรับค่านิยมใดเป็นของตน ค่านิยมนั้นก็จะเป็นเป้าหมายในชีวิตของบุคคลนั้น
จริยธรรม ( Moral )
ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2543 :113 ) ได้กล่าวถึง จริยธรรมว่า เป็นระบบการทำความดี ละเว้นความชั่ว ระบบดังกล่าว หมายรวมถึงสาเหตุของการกระทำหรือไม่กระทำนั้น ตลอดจนกระบวนการเกิดและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย
พุทธทาส อินทปัญโญ ( 2542 : 2-3 ) ได้อธิบายความหมายของจริยธรรมว่า คำว่า moral ที่เราถือกันว่าได้แก่ ศีลธรรมนี้ เพ่งเล็งไปในทางการปฏิบัติมากกว่าหลักวิชาการ ส่วนคำว่า ethics นั้น เพ่งเล็งไปในทางหลักวิชามากกว่าที่จะเป็นตัวการปฏิบัติ ส่วนคำว่า moral นั้นหมายถึง ระเบียบปฏิบัติโดยตรง ในภาษาไทยตรงกับคำว่า ศีลธรรม ตามที่บัญญัติความหมายให้รัดกุมก็ได้แก่ระเบียบปฏิบัติ, ซึ่งปฏิบัติเพื่อให้เกิดความผาสุกและสงบสุข เนื่องด้วยสังคมเป็นส่วนใหญ่ แม้บุคคลจะเป็นผู้รับผลอันนั้น แต่ผลอันนั้นเพ่งเล็งถึงสังคมส่วนใหญ่ จะได้รับรวมกัน เป็นหน่วยใหญ่
-โคลเบิร์ก (Kohlberg 1971:34 ) กล่าวสรุปว่า จริยธรรมเป็นลักษณะของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของความประพฤติปฏิบัติในสังคม อันเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทำนั้นผิดหรือถูกโดยสังคมเป็นผู้ตัดสิน
- โฮแกน (Hogan 1973:217) กล่าวว่า จริยธรรมเป็นระบบของกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายนอกของบุคคลสร้างขึ้นเพื่อชี้แนะพฤติกรรมสังคมหรือพฤติกรรมระหว่างบุคคล
คุณธรรม (Morality)
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) พ.ศ. 2540 “คุณธรรม” เป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงประณีต และประเสริฐ
พจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2546 “คุณธรรม” (virtue) หมายถึง สภาพคุณงามความดีวศิน อิทสระ “คุณธรรม” คือ อุปนิสัยอันดีงาม ซึ่งสั่งสมอยู่ในดวงจิต คุณธรรมมีความสัมพันธ์กับการทำหน้าที่จนเป็นนิสัย จนกลายมาเป็นอุปนิสัยอันดีงาม สอดคล้องกับกับ สุรพล ไกรสราวุฒ ที่กล่าวว่า “คุณธรรม” ทำให้จิตอยู่ในภาวะดีงาม พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ซึ่งเป็นรากฐานของจริยธรรม (สุวิมล ว่องวาณิช, บรรณาธิการ, 2548) ในทำนองเดียวกัน ทิศนา แขมมณี (2546) ได้ให้ความหมายของ “คุณธรรม” ไว้ว่า หมายถึง คุณลักษณะ หรือ สภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้องดีงาม
แหล่งที่มา http://pradit-learning.blogspot.com/2009/10/values-moral.html
จริยธรรม คือคุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวังให้คนในสังคมนั้นประพฤติ มีความถูกต้องในความประพฤติ มีเสรีภาพภายในขอบเขต คุณธรรม คือ พฤติกรรมที่แสดงถึงมาตรฐานทางศีลธรรมและเป็นรูปแบบของความคิดและการกระทำ บนพื้นฐานของมาตรฐานทางศีลธรรม จรรยาบรรณ คือ จริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพที่องค์กร วิชาชีพกำ หนดขึ้นให้คนในองค์กรของตน ประพฤติปฏิบัติ จริยศาสตร์คือวิชาที่ว่า ด้วยความประพฤติว่า ด้วยความดีความชั่ว ความถูกความผดิ สิ่งที่ควรเวน้ สิ่งที่ ควรทำ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า จริยธรรม คุณธรรม จรรยาบรรณ และจริยศาสตร์มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกัน ใน หลายๆด้าน - จริยธรรม และจริยศาสตร์มีความหมายที่แตกต่างกนั แต่มีส่วนที่เกื้อกูลกันคือเราอาจปฏิบัติตาม หลักจริยธรรม เพราะ ได้รับคำ สั่งสอนมาว่า เป็นสิ่งที่ดีโดยตนไม่รู้เหตุผลหรือรู้เหตุเพียงเล็กน้อยแต่หากมีการศึกษา จริยศาสตร์จะช่วยให้เข้าใจเหตุผลของหลัก คำสอนทางจริยธรรมละเอียดถี่ถ้วนและหลายแง่มุมขึ้น ให้เราเข้าใจหลัก คำสอนดีขึ้น - จริยธรรม คุณธรรม และจรรยาบรรณ มีความเกี่ยวข้องกันในด้านของคุณงามความดีกล่าวคือ จริยธรรมและจรรยาบรรณ คือแนวความประพฤติการปฏิบัติตลอดจนการ ดำเนินชีวิตที่ดีงาม หรือ ถูกต้อง ตามกลักกฎเกณฑ์ของสังคม ส่วนคุณธรรมเป็นเรื่องภายในจิตใจของคน ไม่มีข้อบังคับแต่เป็น ความดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่จิตใจส่งไปยังการประพฤติปฏิบัติ
จริยธรรมในมนุษย์ เกิดได้จากลักษณะดังต่อไปนี้
1. เกิดจากการเลียนแบบ
2. การสร้างจริยธรรมในตนเอง โดยอาศัยตัวเองเป็นผู้กำหนดขึ้น
3. เกิดจากการเรียนรู้ระบบสังคม จริยธรรมค่านิยม ที่ได้จากการวิเคราะห์คุณค่าความถูก ผิด ชั่ว ดี
4.การบำเพ็ญ ประโยชน์และพันธะสัญญาประชาคม เป็นการปฏิบัติตามระเบียบก่อให้เกิดความสงบ เรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชาติ
5. การปฏิบัติตามหลักสากล
จริยธรรมของบุคคลมีองค์ประกอบดั้งนี้
1. ความรับผิดชอบ
2.ความซื่อสัตย์
3. ความมี
4. ความกตัญญู
5. การรักษาระเบียบวินัย
6. ความเสียสละ
7. ความสามัคคี
8. การประหยัด
9. ความยุติธรรม
10. ความอุตสาหะ
11. ความเมตตากรุณา
พฤติกรรมของมนุษย์ เกี่ยวข้องกับจริยธรรม แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. ความรู้เชิงจริยธรรม คือความรู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว ภายในสังคม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะปฏิบัติ เช่น การคอรัปชั่น ทุกคนรู้ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีแต่ก็ไม่แน่ ว่าผู้คนจะไม่กระทำ
2. ทัศนคติเชิงจริยธรรม คือความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อสิ่งถูกสิ่งผิดในสังคม ว่าชอบหรือไม่ชอบ ทัศนคติมีลักษณะจูงใจคน ทำพฤติกรรมตามทัศนคติค่อนข้องมาก
3. เหตุผลเชิงจริยธรรม คือ การใช้เหตุผลที่บุคคลใช้เลือกที่จะทำหรือไม่เลือกที่จะทำ อย่างใดอย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กคนจนต้องขโมยเงินมาซื้อยาให้แม่ที่เจ็บป่วยออยู่ เด็กจะให้เหตุผลว่า เขาทำอย่างนั้น ถูกแล้ว เพราะเขาต้องมีความกตัญญู
4. พฤติกรรมเชิงจริยธรรม คือ พฤติกรรม ที่คนแสดงออกมาตามที่สังคมนิยมชื่นชอบ หรืองดเว้นการแสดง พฤติกรรมที่ฝ่ าฝืนกฎเกณฑ์ของสังคม เช่น การให้ทาน
จริยธรรมและกฎหมาย (Ethics and Law)
ข้อกำหนดในการใช้คอมพิวเตอร์นั้นถูกกำหนดกฎเกณฑ์และสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลไว้ด้วย 2 วิธี
คือ กำหนดด้วยจริยธรรมและกำหนดด้วยกฎหมาย ซึ่งทั้ง 2 วิธีการนี้มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ การ
สร้างความเป็นระเบียบและความเรียบร้อย รวมทั้งคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในระบบสารสนเทศ
แต่ทั้งจริยธรรมและกฎหมายนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากในหลายประเด็นซึ่งเกิดเป็นปัญหาขึ้น
จริยธรรมอาจจะครอบคลุม หรือไม่ครอบคลุมโดยกฎหมายก็ได้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
1. หลักการพื้นฐาน
จริยธรรม : ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
2. ผู้ตัดสินความผิด
จริยธรรม : บุคคลผู้กระทำ
กฎหมาย : การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3. บทลงโทษ
จริยธรรม : การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม
กฎหมาย : ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. การบังคับใช้
จริยธรรม : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
กฎหมาย : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
ความแตกต่างของกฎหมายกับจริยธรรม
จริยธรรม กฎหมาย
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์ 1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์
2. ไม่มีการลงโทษตามกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคม 2. มีบทลงโทษที่ชัดเจน
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน 3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายนอก
4. เป็นข้อบังคับจากสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร 4. เป็นข้อบังคับจากรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นเรื่องของจิตสำนึก ทำเพราะเห็นว่าถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ 5. เป็นบทบัญญัติว่าต้องทำหรือต้องละเว้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ค่านิยม (Value) เป็นลักษณะทางจิตที่นักวิชาการให้ความหมายอย่างน้อย 4 ประการ ได้แก่ ประการแรก ค่านิยม หมายถึง สิ่งสําคัญซึ่งนักวิชาการสามารถวัดได้ในหลายรูปแบบ เช่นการให้เรียงลําดับความสําคัญของลักษณะต่างๆ(Rokeach,1973: สุนทรีโคมินและสนิทสมัครการ, 2522 ) การเปรียบเทียบลักษณะเป็นคู่ ๆ (เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง, 2536 ) และ การวัดโดยมาตรประเมินรวมค่า (อุบล เลี้ยววาริณ, 2534v) เป็นต้น ประการที่สอง ค่านิยม หมายถึง การรวมกลุ่มของความเชื่อ ความคิด และความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อบุคคลในการเลือก/การประเมินบุคคลและสถานการณ์อื่น และความคิดเห็นซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคล(Robinson & Shaver, 1973 ) ประการที่สาม ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่น่าปรารถนาของบุคคล ในด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ศาสนา เป็นต้น และประการสุดท้าย ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่น่าปรารถนา มีลักษณะที่ดีงาม ถูกต้อง ใกล้เคียง กับคุณธรรมและจริยธรรม ค่านิยมอาจปรากฏใน ๔ ระดับ คือ หนึ่ง ระดับโลก หรือนานาชาติ เป็นค่านิยมที่ประชาชน ในโลกมีความเห็นที่สอดคล้องกัน ซึ่งค่านิยมเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่น ในอดีต ค่านิยม เกี่ยวกับความรักชาติ มีความสําคัญ แต่ในปัจจุบัน ค่านิยมเกี่ยวกับการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกลับมีความสําคัญ เพราะการมีเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมคนได้ท้ังโลก และการเน้นเกี่ยวกับธุรกิจการค้าทําให้ลดความเป็น ชาตินิยมลง เป็นต้น สอง ระดับประเทศ หรือสังคม ในแต่ละประเทศมีค่านิยมที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ วัฒนธรรม รากฐานของประเทศชาตินั้น เช่น บางประเทศให้ความสําคัญกับความสัมพันธ์หรือพวกพ้อง (Collectivism) ในขณะที่บางประเทศกลับให้ความสําคัญเกี่ยวกับความเป็นตัวของตัวเอง เน้นอัตตบุคคล (Individualism) (Triandis, ๑๙๙๕: Triandis & Gelfand, ๑๙๙๘) สาม ระดับกลุ่มในสังคมหนึ่ง ๆ คน ในประเทศเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา ฐานะ การศึกษา เป็นต้น บุคคลแต่ละกลุ่มนี้ก็จะมีค่านิยมที่แตกต่างกัน (Kohn, ๑๙๖๙) และ สี่ ระดับภายในบุคคล มักเป็นค่านิยม ที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัย (Kohlberg, ๑๙๗๖) เนื่องจากความสามารถทางการรู้ การคิด หรือสติปัญญา มีการเปลี่ยนแปลงหรือมีประสบการณ์ทางสังคมเพิ่มข้ึนเช่นค่านิยมในการทํางาน(Hofstede, ๑๙๘๐) เป็นต้น
“คุณธรรม” (Virtue) นักวิชาการในสาขานี้ ให้ความหมายโดยสรุปว่า เป็นสิ่งที่บุคคลเห็น ว่าดีงามมาก มีประโยชน์มาก และเลวน้อย มีประโยชน์น้อย ในกาลเทศะหนึ่ง ๆ เช่น ความเอื้อเฟื้อ ความอดทน ความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การมีระเบียบวินัย เป็นต้น สิ่งที่เป็น คุณธรรมในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกัน การที่บุคคลในสังคมจะเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นกับวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ศาสนา และการศึกษาของสังคม นักวิชาการจึงเห็นว่าการนําเอาคุณธรรมใน สังคมหนึ่งไปยัดเยียดตัดสินคุณธรรมอีกสังคมหนึ่ง ย่อมไม่เหมาะสม ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว คุณธรรมมักมี ความเกี่ยวข้องกับหลักทางศาสนา อย่างไรก็ตาม ลักษณะบางด้านอาจเป็นได้ทั้งคุณธรรมและค่านิยมใน เวลาเดียวกัน เนื่องจากสังคมเห็นว่า ลักษณะด้านนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามและมีความสําคัญมากด้วย เช่น “รักสามัคคี” ในสมัยก่อน “รักสามัคคี” เป็นเพียงแค่คุณธรรมที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีงามต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่-หัว รัชกาลที่ ๙ ได้ทรงตระหนักถึงความสําคัญของคุณธรรมตัวนี้ ดังนั้นใน ปัจจุบันจึงอาจกล่าวได้ว่า “รักสามัคคี” เป็นทั้งคุณธรรมและค่านิยม
“จริยธรรม” (Morality) (Piaget, ๑๙๓๒: Kohlberg, ๑๙๗๖) เป็นระบบของ การทําความดีละเว้นความชั่ว มีทั้งปัจจัยนําเข้า (Input) ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงเหตุทั้งทางด้านจิตใจและ สถานการณ์ของจริยธรรมและพฤติกรรมจริยธรรมรวมทั้งมีปัจจัยส่งออก(Output) ซึ่งเป็นผลของการมี จริยธรรมหรือมีพฤติกรรมจริยธรรม ซึ่งผลนี้อาจอยู่ในรูปแบบทั้งจิตลักษณะและพฤติกรรมของบุคคล ผู้กระทํา และผลต่อบุคคลอื่น ต่อกลุ่ม ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อโลก จริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อค่านิยมหรือ คุณธรรม ต้ังแต่ ๒ ตัวขัดแย้งกัน ทําให้บุคคลต้องตกอยู่ ในสภาพท่ีต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการ เลือกที่จะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง เช่น ความกตัญญูต่อบุคคล ขัดแย้งกับความ รับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นต้น บุคคลที่ตัดสินใจเลือกคุณธรรมหรือค่านิยม ตัวที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวม มากกว่าที่เป็นประโยชน์แก่เฉพาะตนหรือพวกพ้องในกลุ่มเล็ก ๆ จึงมักเป็นบุคคลท่ีมีจริยธรรมสูง ดังนั้น จริยธรรมจึงมีความหมายครอบคลุมทั้งสาเหตุ กระบวนการ และผลของการกระทําความดีละเว้น ความชั่ว
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ความแตกต่างระหว่างคุณธรรมและจริยธรรมที่สำคัญกว่านั้นคือหนึ่งเป็นพื้นฐาน ของอีกคุณธรรมเป็นรากฐานของจริยธรรมด้วยวิธีนี้จริยธรรมไม่ได้กลายเป็นอุดมการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งอำนวยความสะดวกและปัจจัยภายนอก จริยธรรมหมายถึงกฎที่มาจากแหล่งภายนอกเช่นสถานที่ทำงาน หรือหลักการทางศาสนา ในขณะที่ศีลธรรมมีความสัมพันธ์กับหลักการของตัวเองของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ถูกต้อง แม้ว่าในหลายๆกรณีคำว่าคุณธรรมและจริยธรรมนั้นมีความหมายเหมือนกัน แต่ แต่คนละความหมายแฝงต่างกันและกล่าวถึงพื้นที่ที่แตกต่างกันของสภาพมนุษย์
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิด อำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of law) ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำ ระหว่างความโน้มเอียงในทาง ธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความ ชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่ง ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก
ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจซึ่งได้ปรากฏออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการ กำ หนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากใน ปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้น จากความเชื่อ ที่ว่า สังคม จะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่าน้ัน แต่ต้องอาศัยหลักการ ทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งที่มีข้อ จำกัด ในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือ ความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยในหลักจริยธรรม ของสังคมมนุษย์
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
กฎหมายและจริยธรรมล้วนเป็นเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคมแม้มีความหมายที่แตกต่างกัน กล่าวคือกฎหมายเป็น เครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่มีการลงโทษอย่าง ชัดเจน ส่วนจริยธรรม เป็น เครื่องมือ ควบคมุ พฤติกรรรมบคุคล ที่ไม่มีการลงโทษชัดเจนดังเช่นกฎหมาย หากแต่เป็นการ ควบคุมในทางสังคม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าจริยธรรมเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับสูง ส่วนกฎหมายเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับต่ำ จึงต้องมีบทลงโทษ สำหรับผู้ฝ่าฝืนชัดเจน
อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายและจริยธรรม มีความ แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ต่างก็มีบทบาทในทาง สังคมที่ส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะ กฎหมายไม่อาจบัญญัติข้อห้ามหรือกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ จะต้องประพฤติปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางครอบคลุม ทุกกรณี ดังคำกล่าวที่ว่า ลำพังแต่กฎหมาย ย่อมไม่อาจ ที่จะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของ จริยธรรม หรือศีลธรรมที่จะวางหลักเกณฑ์ความดีและ ความชั่ว ความถูก และความผิด ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตาม เพื่อควบคุมพฤติกรรมภายใน โดยเน้นการสร้าง จิตสำนึก ให้ตระหนักรู่ว่าสิ่งใด ควรทำหรือไม่ควรทำ แม้ไม่มีกฎหมาย บัญญัติไว้อย่างแน่ชัดก็ตาม
-จริยธรรม
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย
2. ไม่มีการลงโทษตามกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคม
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน
4. เป็นข้อบังคับของสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นเรื่องของจิตสำนึก ที่ทำเพราะเห็นว่าถูกต้องและ ภูมิใจที่ได้ทำ
-กฎหมาย
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับ ต่ำ ของมนุษย์
2. มีบทลงโทษชัดเจน
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมภายนอก
4. เป็นข้อบังคับของรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการที่ต้องทำ หรือต้องละเว้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ความหมายของค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม
“ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม” ทิศนา (2546) ได้อธิบายถึงความหมายไว้ว่า ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
ค่านิยม (Value) คำว่าค่านิยม มาจากคำว่า ค่า (คุณค่า) บวกกับคำว่า นิยม ก็หมายความว่า สิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าได้รับความนิยมชมชอบจาก บุคคล หรือ สังคม สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น รูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้ (รองศาสตราจารย์โสภัณฑ์ นุชนาถ. 2548)
จริยธรรม ( Moral )
ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2543 :113 ) ได้กล่าวถึง จริยธรรมว่า เป็นระบบการทำความดี ละเว้นความชั่ว ระบบดังกล่าว หมายรวมถึงสาเหตุของการกระทำหรือไม่กระทำนั้น ตลอดจนกระบวนการเกิดและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย
พุทธทาส อินทปัญโญ ( 2542 : 2-3 ) ได้อธิบายความหมายของจริยธรรมว่า คำว่า moral ที่เราถือกันว่าได้แก่ ศีลธรรมนี้ เพ่งเล็งไปในทางการปฏิบัติมากกว่าหลักวิชาการ ส่วนคำว่า ethics นั้น เพ่งเล็งไปในทางหลักวิชามากกว่าที่จะเป็นตัวการปฏิบัติ ส่วนคำว่า moral นั้นหมายถึง ระเบียบปฏิบัติโดยตรง ในภาษาไทยตรงกับคำว่า ศีลธรรม ตามที่บัญญัติความหมายให้รัดกุมก็ได้แก่ระเบียบปฏิบัติ, ซึ่งปฏิบัติเพื่อให้เกิดความผาสุกและสงบสุข เนื่องด้วยสังคมเป็นส่วนใหญ่ แม้บุคคลจะเป็นผู้รับผลอันนั้น แต่ผลอันนั้นเพ่งเล็งถึงสังคมส่วนใหญ่ จะได้รับรวมกัน เป็นหน่วยใหญ่
-โคลเบิร์ก (Kohlberg 1971:34 ) กล่าวสรุปว่า จริยธรรมเป็นลักษณะของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของความประพฤติปฏิบัติในสังคม อันเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทำนั้นผิดหรือถูกโดยสังคมเป็นผู้ตัดสิน
- โฮแกน (Hogan 1973:217) กล่าวว่า จริยธรรมเป็นระบบของกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายนอกของบุคคลสร้างขึ้นเพื่อชี้แนะพฤติกรรมสังคมหรือพฤติกรรมระหว่างบุคคล
คุณธรรม (Morality)
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) พ.ศ. 2540 “คุณธรรม” เป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงประณีต และประเสริฐ
พจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2546 “คุณธรรม” (virtue) หมายถึง สภาพคุณงามความดีวศิน อิทสระ “คุณธรรม” คือ อุปนิสัยอันดีงาม ซึ่งสั่งสมอยู่ในดวงจิต คุณธรรมมีความสัมพันธ์กับการทำหน้าที่จนเป็นนิสัย จนกลายมาเป็นอุปนิสัยอันดีงาม สอดคล้องกับกับ สุรพล ไกรสราวุฒ ที่กล่าวว่า “คุณธรรม” ทำให้จิตอยู่ในภาวะดีงาม พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ซึ่งเป็นรากฐานของจริยธรรม (สุวิมล ว่องวาณิช, บรรณาธิการ, 2548) ในทำนองเดียวกัน ทิศนา แขมมณี (2546) ได้ให้ความหมายของ “คุณธรรม” ไว้ว่า หมายถึง คุณลักษณะ หรือ สภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้องดีงาม
"ค่านิยม" "Value" เป็นความคิดหรือสิ่งที่ยอมรับว่าดีมีคุณค่าหรือ เป็นการยอมรับนับถือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนในสังคม ส่วน Phenix (1992) ให้นิยามว่า “ค่านิยมคือความชอบ ความสามารถจำแนกให้ความเห็นความแตกต่างของความชอบกับกับความไม่ชอบได้โดยการประเมินผล”
จึงสรุปได้ว่า ค่านิยม เป็นสิ่งกำหนดคุณค่าการกระทำของมนุยษ์ เช่น ค่านิยมการแต่งตัวของคนอีสาน ค่านิยมการไว้ทรงผมของเด็กวัยรุ่น เป็นต้น ซึ่งอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้
ถ้าค่านิยม ที่ดี เช่น การประหยัด การเสียสละ อดทน เป็นต้น ค่านิยมเหล่านี้ฝักรากลึกในจิตใจจะเรียกว่า คุณธรรม และถ้าประพฤติออกมาด้วย จะเรียกว่า จริยธรรม
“จริยธรรม” (Morality) (Piaget, ๑๙๓๒: Kohlberg, ๑๙๗๖) เป็นระบบของ การทําความดีละเว้นความชั่ว มีทั้งปัจจัยนําเข้า (Input) ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงเหตุทั้งทางด้านจิตใจและ สถานการณ์ของจริยธรรมและพฤติกรรมจริยธรรมรวมทั้งมีปัจจัยส่งออก(Output) ซึ่งเป็นผลของการมี จริยธรรมหรือมีพฤติกรรมจริยธรรม ซึ่งผลนี้อาจอยู่ในรูปแบบทั้งจิตลักษณะและพฤติกรรมของบุคคล ผู้กระทํา และผลต่อบุคคลอื่น ต่อกลุ่ม ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อโลก จริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อค่านิยมหรือ คุณธรรม ต้ังแต่ ๒ ตัวขัดแย้งกัน ทําให้บุคคลต้องตกอยู่ในสภาพท่ีต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการ เลือกท่ีจะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง เช่น ความกตัญญูต่อบุคคล ขัดแย้งกับความ รับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นต้น บุคคลที่ตัดสินใจเลือกคุณธรรมหรือค่านิยม ตัวที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวม มากกว่าท่ีเป็นประโยชน์แก่เฉพาะตนหรือพวกพ้องในกลุ่มเล็ก ๆ จึงมักเป็นบุคคลท่ีมีจริยธรรมสูง ดังนั้น จริยธรรมจึงมีความหมายครอบคลุมทั้งสาเหตุ กระบวนการ และผลของการกระทําความดีละเว้น ความชั่ว
“คุณธรรม” (Virtue) นักวิชาการในสาขานี้ ให้ความหมายโดยสรุปว่า เป็นสิ่งที่บุคคลเห็น ว่าดีงามมาก มีประโยชน์มาก และเลวน้อย มีประโยชน์น้อย ในกาลเทศะหนึ่ง ๆ เช่น ความเอื้อเฟื้อ ความ อดทน ความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การมีระเบียบวินัย เป็นต้น สิ่งที่เป็น คุณธรรมในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกัน การที่บุคคลในสังคมจะเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นกับวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ศาสนา และการศึกษาของสังคม นักวิชาการจึงเห็นว่าการนําเอาคุณธรรมใน สังคมหนึ่งไปยัดเยียดตัดสินคุณธรรมอีกสังคมหนึ่ง ย่อมไม่เหมาะสม ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว คุณธรรมมักมี ความเกี่ยวข้องกับหลักทางศาสนา อย่างไรก็ตาม ลักษณะบางด้านอาจเป็นได้ทั้งคุณธรรมและค่านิยมใน เวลาเดียวกัน เนื่องจากสังคมเห็นว่า ลักษณะด้านนั้นเป็นส่ิงท่ีดีงามและมีความสําคัญมากด้วย เช่น “รักสามัคคี” ในสมัยก่อน “รักสามัคคี” เป็นเพียงแค่คุณธรรมที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้ทรงตระหนักถึงความสําคัญของคุณธรรมตัวนี้ ดังนั้นใน ปัจจุบันจึงอาจกล่าวได้ว่า “รักสามัคคี” เป็นทั้งคุณธรรมและค่านิยม
Ans2
- ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณ และจริยธรรมมีความเกี่ยวข้องกันในด้านของคุณงามความดี คือ
จริยธรรมจรรยาบรรณคือ แนวความประพฤติ การปฏิบัติ ตลอดจนการดำเนินชีวิตที่ดีงาม หรือ ถูกต้องกับกฎเกณฑ์ของสังคม
คุณธรรมเป็นเรื่องภายในจิตใจของคนไม่มีข้อบังคับแต่เป็น ความดีที่เกิดข้ึนตั้ง แต่จิตใจส่งไปยังการประพฤติ ปฏิบัติ
ค่านิยมคือสิ่งที่บุคคลปราถนาในด้านต่างๆ มีลักษณะที่ดีงาม ถูกต้อง
-ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณ และจริยธรรม คือ
คุณธรรมเป็นลักษณะความรู้สึกนึกคิดทางจิตใจ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในแต่ละบุคคล
จริยธรรมจรรยาบรรณเป็นลักษณะการแสดงออกของร่างกาย ทางการประพฤติปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็น รูปธรรม
ค่านิยม เป็นสิ่งที่บุคคลเห็นว่าเป็นสิ่งที่สําคัญมากกว่าสิ่งอื่น ๆ ในกาลเทศะหนึ่ง ๆ แตกต่างไป ตามกลุ่มบุคคลและวัฒนธรรม เช่น การมีการศึกษาสูง ความกตัญญูต่อบิดามารดา และครูอาจารย์ในบาง สังคมและวัฒนธรรมเห็นว่า สองสิ่งนี้สําคัญมาก แต่บางสังคมเห็นว่าการศึกษาสูง ๆ ไม่สําคัญ ส่วนความ กตัญญูเป็นสิ่งสําคัญในอันดับต่ำๆเนื่องจากมีสิ่งอื่นสําคัญกว่าความกตัญญู เช่น ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม และความเสียสละ เป็นต้น
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิระโยชน์ สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยก ระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง และลัทธิประโยชน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่า หลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวน้ันไม่ได้รับความชื่นชม คำถามท่ีเก่ียวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคณุธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถาม ที่เกี่ยวกับ “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of law)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ ได้สร้างสรรค์งานระหว่างความโน้มเอียงในทาง ธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความ ชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีกประการหนึ่งคือ ความกลัวท่ีซ่อนเร้นอยู่ในใจซึ่งได้ปรากฏ ออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการ กำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหาน้ี มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มข้ึนอย่างมากใน ปัจจุบันความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยง อยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่าน้ัน แต่ต้องอาศัยหลักการ ทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจท่ีจะใช้ ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งท่ีมีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือ ความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยในหลักจริยธรรม ของสังคมมนุษย์
Ans.4
กฎหมายและจริยธรรมล้วนเป็นเครื่องมือท่ีมนุษย์สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม ซึ่งมีข้อที่แตกต่างกัน คือ กฎหมายเป็น เครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่มีการลงโทษอย่าง ชัดเจน ส่วนจริยธรรม เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบคุคล ที่ไม่มีการลงโทษชัดเจนดังเช่นกฎหมาย แต่เป็นการ ควบคุมในทางสังคม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าจริยธรรมเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับสูง ส่วนกฎหมายเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับต่ำ จึงต้องมีบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนอย่างชัดเจน เช่น การห้ามฆ่าคน ในทาง กฎหมายถือเป็นการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ขั้นต่ำหากมนุษย์ฝ่าฝืน สังคมก็จะไม่ยอมรับและถือว่าผิดกฎหมาย แต่โดยหลักจริยธรรมน้ัน ไม่เพียงแต่ห้ามมนุษย์ฆ่ากันเอง แต่ประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีความเมตตากรุณา และช่วย เหลือเกื้อกูลกันด้วย
แม้กฎหมายและจริยธรรม มีความ แตกต่าง กันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ต่างก็มีบทบาทในทาง สังคมที่ส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งน้ีเพราะ กฎหมายไม่อาจบัญญัติข้อห้ามหรือกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ จะต้องประพฤติปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางครอบคลุม ทุกกรณี ดังคำกล่าวท่ีว่า”ลำพังแต่กฎหมายย่อมไม่อาจ ท่ีจะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ จึงเป็นหน้าท่ีของ จริยธรรม หรือศีลธรรมท่ีจะวางหลักเกณฑ์ความดี ความชั่ว ความถูก และความผิด ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตาม เพื่อควบคุมพฤติกรรมภายใน โดยเน้นการสร้างจิตสำนึก ให้ตระหนักรู่ว่าส่ิงใดควรทำหรือไม่ควรทำ แม้ไม่มีกฎหมาย บัญญัติไว้อย่างแน่ชัดก็ตาม
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
- ค่านิยม คือ การให้ค่าแก่สิ่งต่างๆว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี อะไรควร ไม่ควร เช่นเราให้ค่าแก่ความซื่อสัตย์ว่าเป็นสิ่งที่ดี เราจะแสดงความซื่อสัตย์ หรือบางคนพอใจจะให้ค่าแก่การมีวัตถุสิ่งของว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่ว่าการได้มาซึ่งวัตถุสิ่งของนั้นจะได้มาด้วยวิธีใด บุคคลก็จะสะสมวัตถุสิ่งของเอาไว้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ค่านิยมจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลในสังคม (สมพร สุทัศนีย์, 2541 : 108 – 109)
1.ความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ การประพฤติปฏิบัติตนที่แสดงถึงความสำนึกและภาคภูมิใจความเป็นไทยปฏิบัติตามหลักศาสนาที่ตนนับถือ และจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
2.ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม การประพฤติปฏิบัติตนที่แสดงถึงการยึดมั่นในความถูกต้อง
3. กตัญญูต่อพ่อแม่ ผู้ปกครอง ครูบาอาจารย์ การประพฤติที่แสดงถึงการรู้จักบุญคุณ ปฏิบัติตามคำสั่งสอน
4.ใฝ่หาความรู้ หมั่นศึกษาเล่าเรียนทั้งทางตรง และทางอ้อม
5.รักษาวัฒนธรรมประเพณีไทยอันงดงาม
6.มีศีลธรรม รักษาความสัตย์ หวังดีต่อผู้อื่น เผื่อแผ่และแบ่งปัน การประพฤติปฏิบัติตน โดยยึดมั่นในคำสัญญา
7.เข้าใจเรียนรู้การเป็นประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่ถูกต้อง
8. มีระเบียบวินัย เคารพกฎหมาย ผู้น้อยรู้จักการเคารพผู้ใหญ่
9.มีสติรู้ตัว รู้คิด รู้ทำ รู้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
10. รู้จักดำรงตนอยู่โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
11.มีความเข้มแข็งทั้งร่ายกาย และจิตใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจฝ่ายต่ำ หรือกิเลสมีความละอายเกรง กลัวต่อบาปตามหลักของศาสนา
12.คำนึงถึงผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติมากกว่าผลประโยชน์ของตนเอง
- คุณธรรม คือ ความดีงามที่ถูกปลูกฝังขึ้นในจิตใจ มีความกตัญญู ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ สามัคคี มีวินัย มีน้ำใจ และ เป็นสุภาพชน เป็นต้น จนเกิดจิตสำนึกที่ดี รู้สึกรับผิดชอบ ชั่ว ดี เกรงกลัวต่อการกระทำความชั่ว โดยประการต่างๆ เมื่อจิตเกิดคุณธรรมขึ้นแล้ว จะทำให้เป็นผู้มีจิตใจดี และคิดแต่สิ่งที่ดี จึงได้ชื่อว่า “เป็นผู้มีคุณธรรม”
1.ขยัน มีความตั้งใจเพียรพยายาม ทำหน้าที่การงานอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
2.ประหยัด ดำเนินชีวิตความเป็นอยู่อย่างเรียบง่ายรู้จักฐานะการเงินของตน คิดก่อนใช้ คิดก่อนซื้อเก็บออม ถนอมใช้ทรัพย์สิน
3.ซื่อสัตย์ มีความประพฤติตรงทั้งต่อเวลา ต่อหน้าที่ และต่อวิชาชีพ
4.มีวินัย ปฏิบัติตนในขอบเขต กฎระเบียบของสถานศึกษา สถาบัน องค์กร สังคมและประเทศโดยที่ตนเองยินดีปฏิบัติตามอย่างเต็มใจและตั้งใจ ยึดมั่นในระเบียบแบบแผน
5.สุภาพ มีความอ่อนน้อมถ่อมตนตามสถานภาพและกาลเทศะ มีสัมมาคารวะ เรียบร้อย ไม่ก้าวร้าวรุนแรง
6.สะอาด รักษาร่างกาย ที่อยู่อาศัย และสิ่งแวดล้อมได้อย่างถูกต้องตามสุขลักษณะฝึกฝนจิตใจมิให้ขุ่นมัว มีความแจ่มใสอยู่เสมอ
7.สามัคคี เปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น รู้บทบาทของตนทั้งในฐานะผู้นำและผู้ตามที่ดีมีความมุ่งมั่นต่อการรวมพลัง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
8.มีน้ำใจ เป็นผู้ให้และผู้อาสาช่วยเหลือสังคมรู้จักแบ่งปันเสียสละความสุขส่วนตน เพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น 9.กตัญญู ปฏิบัติตนเห็นคุณค่าแห่งการกระทำดี หรืออุปการคุณของผู้มีพระคุณ เช่น พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ครูอาจารย์ หรือผู้อื่น
- จรรยาบรรณ คือ ประมวลกฎเกณฑ์ความประพฤติ หรือประมวลมารยาทของผู้ประกอบอาชีพ นั้น ๆ ต้องเป็นเอกลักษณ์ทางวิชาชีพ ใช้ความรู้ มีองค์กรหรือสมาคมควบคุม
1.จรรยาบรรณในการประกอบอาชีพค้าขาย
2.จรรยาบรรณในการประกอบอาชีพครู
-จริยธรรม คือ การประพฤติปฏิบัติ การกระทำดี ตามคุณธรรมที่มีอยู่ในจิตใจ ปรากฏเป็นความดีงาม ทั้งทางกาย ทางวาจา และ ทางใจ เมื่อความดีงาม มีความกตัญญู ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ สามัคคี มีวินัย มีน้ำใจ และ เป็นสุภาพชน เป็นต้น ถูกแสดงออกทางจรรยา มารยาท การประพฤติปฏิบัติ และการกระทำที่ดี ตามคุณธรรมที่มีในจิตใจนั้น จึงได้ชื่อว่า “เป็นผู้มีจริยธรรม”
1.จริยธรรมภายในเป็นจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกนึกคิดหรือทัศนคติของบุคคลตามสภาพจิตใจและสภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน
2.จริยธรรมภายนอก เป็นจริยธรรมที่บุคคลแสดงออกทางพฤติกรรมภายนอกที่ปรากฎให้เป็นที่สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน เช่น ความรับผิดชอบ ความเป้นระเบียบเรียบร้อย ความมีวินัย การตรงต่อเวลา เป็นต้น
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ในแง่ง่าย กฎหมาย อาจถูกเข้าใจว่าเป็นชุดของกฎและระเบียบที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลที่สร้างขึ้นโดยหน่วยงานที่เหมาะสมเช่นรัฐบาลซึ่งอาจเป็นภูมิภาคระดับชาติระดับนานาชาติ ฯลฯ ใช้เพื่อควบคุมการกระทำและพฤติกรรมของ สมาชิกและสามารถบังคับใช้โดยกำหนดบทลงโทษ
หลายครั้งที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำว่าจริยธรรม แต่มีความแตกต่างเนื่องจาก จริยธรรม เป็นหลักการที่ชี้นำบุคคลหรือสังคมสร้างขึ้นเพื่อตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดีถูกหรือผิดในสถานการณ์ที่กำหนด มันควบคุมพฤติกรรมหรือความประพฤติของบุคคลและช่วยให้บุคคลในการใช้ชีวิตที่ดีโดยใช้กฎและแนวทางปฏิบัติทางศีลธรรม
สำหรับคนธรรมดาคำสองคำนี้เหมือนกัน แต่ความจริงก็คือว่ามีความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรม อ่านบทความอย่างละเอียดเพื่อเอาชนะความคลุมเครือของคุณ
นิยามของกฎหมาย
-กฎหมายได้รับการอธิบายเป็นชุดของกฎและระเบียบที่สร้างขึ้นโดยรัฐบาลในการควบคุมสังคมทั้งหมด กฎหมายเป็นที่ยอมรับยอมรับและบังคับใช้ในระดับสากล มันถูกสร้างขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมความยุติธรรมในสังคมและเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนทั่วไปและปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขา มันทำหลังจากพิจารณาหลักการทางจริยธรรมและค่านิยมทางศีลธรรม
-กฎหมายทำขึ้นโดยระบบตุลาการของประเทศ ทุกคนในประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ชัดเจนกำหนดสิ่งที่คนต้องหรือไม่ต้องทำ ดังนั้นในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎหมายอาจส่งผลให้มีการลงโทษหรือลงโทษหรือบางครั้งทั้งคู่
คำจำกัดความของจริยธรรม
-โดยจรรยาบรรณเราหมายถึงสาขาของปรัชญาคุณธรรมที่ชี้นำผู้คนเกี่ยวกับสิ่งที่ดีหรือไม่ดี มันคือชุดของแนวคิดพื้นฐานและหลักการของตัวละครในอุดมคติของมนุษย์ หลักการช่วยเราในการตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกหรือผิด มันแจ้งให้เราทราบเกี่ยวกับวิธีการดำเนินการในสถานการณ์ที่เฉพาะเจาะจงและตัดสินให้มีทางเลือกที่ดีกว่าสำหรับตัวเราเอง
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรมมีการกล่าวถึงด้านล่าง:
-กฎหมายถูกกำหนดให้เป็นระบบกฎเกณฑ์ที่ควบคุมทั้งสังคมและการกระทำของสมาชิกแต่ละคน จริยธรรมหมายถึงศาสตร์แห่งการประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานของมนุษย์
-กฎหมายประกอบด้วยชุดของกฎและข้อบังคับในขณะที่จริยธรรมประกอบด้วยแนวทางและหลักการที่แจ้งให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตหรือวิธีการปฏิบัติตนในสถานการณ์เฉพาะ
-กฎหมายถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลซึ่งอาจเป็นในระดับท้องถิ่นภูมิภาคระดับประเทศหรือระหว่างประเทศ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมถูกควบคุมโดยบรรทัดฐานของบุคคลกฎหมายหรือวิชาชีพเช่นจรรยาบรรณในการทำงานจริยธรรมสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ
-กฎหมายมีการแสดงออกในรัฐธรรมนูญในรูปแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษร ตรงข้ามกับจริยธรรมไม่สามารถพบได้ในรูปแบบการเขียน
-การฝ่าฝืนกฎหมายอาจส่งผลให้มีการลงโทษหรือลงโทษหรือทั้งสองอย่างที่ไม่ได้อยู่ในการละเมิดจริยธรรม
-วัตถุประสงค์ของกฎหมายคือการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศและคุ้มครองประชาชนทุกคน แตกต่างจากจริยธรรมที่เป็นจรรยาบรรณที่ช่วยให้บุคคลตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดและวิธีการปฏิบัติ
-กฎหมายสร้างความผูกพันทางกฎหมาย แต่จริยธรรมไม่มีผลผูกพันกับประชาชน
ข้อสรุป กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระและเลือก
62423471051 รุ่น 44
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรมตอบ ค่านิยม (Value) เป็นลักษณะทางจิตที่นักวิชาการให้ความหมายอย่างน้อย
๔ ประการ ได้แก่ ประการแรก ค่านิยม หมายถึง สิ่งสําคัญซึ่งนักวิชาการสามารถวัดได้ในหลายรูปแบบ
เช่น การให้เรียงลําดับความสําคัญของลักษณะต่างๆ การเปรียบเทียบลักษณะเป็นคู่ๆ และการวัดโดยมาตรประเมินรวมค่าเป็นต้น ประการที่สอง ค่านิยม หมายถึง การรวมกลุ่มของความเชื่อ
ความคิด และความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อบุคคลในการเลือก/การประเมินบุคคลและสถานการณ์อื่น
และความคิดเห็น ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคล ประการที่สาม
ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่น่าปรารถนาของบุคคล ในด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ศาสนาและประการสุดท้าย ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่น่าปรารถนา มีลักษณะที่ดีงาม ถูกต้อง ใกล้เคียง
กับคุณธรรมและจริยธรรม
ค่านิยมอาจปรากฏใน ๔ ระดับ คือ หนึ่ง ระดับโลก หรือนานาชาติเป็นค่านิยมที่ประชาชน
ในโลกมีความเห็นที่สอดคล้องกัน ซึ่งค่านิยมเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่น ในอดีต ค่านิยม
เกี่ยวกับความรักชาติมีความสําคัญ แต่ในปัจจุบัน ค่านิยมเกี่ยวกับการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกลับมีความสําคัญ
เพราะการมีเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมคนได้ทั้งโลก และการเน้นเกี่ยวกับธุรกิจการค้าทําให้ลดความเป็น
ชาตินิยมลง เป็นต้น สอง ระดับประเทศ หรือสังคม ในแต่ละประเทศมีค่านิยมที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ
วัฒนธรรม รากฐานของประเทศชาตินั้น เช่น บางประเทศให้ความสําคัญกับความสัมพันธ์หรือพวกพ้องในขณะที่บางประเทศกลับให้ความสําคัญเกี่ยวกับความเป็นตัวของตัวเอง เน้นอัตตบุคคล
สาม ระดับกลุ่มในสังคมหนึ่ง ๆ คน
ในประเทศเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ เช่น เชื้อชาติศาสนา ฐานะ การศึกษา เป็นต้น
บุคคลแต่ละกลุ่มนี้ก็จะมีค่านิยมที่แตกต่างกันและ สี่ ระดับภายในบุคคล มักเป็นค่านิยม
ที่เปลี่ยนแปลงไปตามวันเนื่องจากความสามารถทางการรู้การคิด หรือสติปัญญา
มีการเปลี่ยนแปลง หรือมีประสบการณ์ทางสังคมเพิ่มขึ้น เช่น ค่านิยมในการทํางานเป็นต้น“คุณธรรม” (Virtue) นักวิชาการในสาขานี้ให้ความหมายโดยสรุปว่า เป็นสิ่งที่บุคคลเห็น
ว่าดีงามมาก มีประโยชน์มาก และเลวน้อย มีประโยชน์น้อย ในกาลเทศะหนึ่ง ๆ เช่น ความเอื้อเฟื้อ ความ
อดทน ความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การมีระเบียบวินัย เป็นต้น สิ่งที่เป็น
คุณธรรมในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกัน การที่บุคคลในสังคมจะเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่นั้น
ขึ้นกับวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ศาสนา และการศึกษาของสังคม นักวิชาการจึงเห็นว่าการนําเอาคุณธรรมใน
สังคมหนึ่งไปยัดเยียดตัดสินคุณธรรมอีกสังคมหนึ่ง ย่อมไม่เหมาะสม ซึ่งโดยส่วนมากแล้ว คุณธรรมมักมี
ความเกี่ยวข้องกับหลักทางศาสนา อย่างไรก็ตาม ลักษณะบางด้านอาจเป็นได้ทั้งคุณธรรมและค่านิยมใน
เวลาเดียวกัน เนื่องจากสังคมเห็นว่า ลักษณะด้านนั้นเป็นสิ่งที่ดีงามและมีความสําคัญมากด้วย เช่น
“รักสามัคคี” ในสมัยก่อน “รักสามัคคี” เป็นเพียงแค่คุณธรรมที่ทุกคนยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ต่อมา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ได้ทรงตระหนักถึงความสําคัญของคุณธรรมตัวนี้ดังนั้นใน
ปัจจุบันจึงอาจกล่าวได้ว่า “รักสามัคคี” เป็นทั้งคุณธรรมและค่านิยม“จริยธรรม” เป็นระบบของ
การทําความดีละเว้นความชั่ว มีทั้งปัจจัยนําเข้าซึ่งเป็นปัจจัยเชิงเหตุทั้งทางด้านจิตใจและ
สถานการณ์ของจริยธรรมและพฤติกรรมจริยธรรม รวมทั้งมีปัจจัยส่งออกซึ่งเป็นผลของการมี
จริยธรรมหรือมีพฤติกรรมจริยธรรม ซึ่งผลนี้อาจอยู่ในรูปแบบทั้งจิตลักษณะและพฤติกรรมของบุคคล
ผู้กระทํา และผลต่อบุคคลอื่น ต่อกลุ่ม ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อโลก จริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อค่านิยมหรือ
คุณธรรม ตั้งแต่ ๒ ตัวขัดแย้งกัน ทําให้บุคคลต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการ
เลือกที่จะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง เช่น ความกตัญญูต่อบุคคล ขัดแย้งกับความ
รับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นต้น
62423471051 รุ่นที่44
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณแบละจริยธรรมมีอะไรบ้าง
ตอบ จริยธรรมและค่านิยมร่วมกันวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะใช้คำพ้องความหมายต่างกัน แต่ใน ทางกลับกันจริยธรรมนั้นเป็นชุดของกฎที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มหรือวัฒนธรรม ค่านิยม หมายถึงความเชื่อที่บุคคลมีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน
จริยธรรมและค่านิยมมีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของชีวิตเมื่อเราต้องเลือกระหว่างสองสิ่งโดยที่จริยธรรมจะกำหนดสิ่งที่ถูกต้องค่าจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่สำคัญ
ในโลกแห่งการแข่งขันที่ดุเดือดองค์กรธุรกิจทุกแห่งต่างก็ทำงานบนหลักการและความเชื่อที่แน่นอน มีการดำเนินการด้านจริยธรรมในองค์กรเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นลูกค้าซัพพลายเออร์พนักงานสังคมและรัฐบาล อ่านบทความต่อไปนี้เพื่อทราบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
คำจำกัดความของจริยธรรม
โดยคำว่า 'จริยธรรม' เราหมายถึงสาขาปรัชญาคุณธรรม - ความรู้สึกของความถูกต้องหรือผิดของการกระทำแรงจูงใจและผลของการกระทำเหล่านี้ กล่าวโดยย่อก็คือวินัยที่ระบุความดีหรือความชั่วเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ทางศีลธรรมหรือไม่ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม เป็นมาตรฐานที่ดีที่บุคคลควรทำเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ความเป็นธรรมผลประโยชน์ต่อสังคมและอื่น ๆ มาตรฐานดังกล่าวมีข้อผูกมัดที่สมเหตุสมผลในการหยุดอาชญากรรมเช่นการขโมยการข่มขืนการข่มขืนการฆาตกรรมการฉ้อโกงและอื่น ๆ
คำจำกัดความของค่านิยม
ค่านิยมหมายถึงความเชื่อหรือหลักการที่สำคัญและยืนยงซึ่งแต่ละคนตัดสินในชีวิต มันเป็นศูนย์กลางของชีวิตของเราซึ่งทำหน้าที่เป็นมาตรฐานของพฤติกรรม พวกเขาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานะทางอารมณ์ของจิตใจของบุคคล พวกเขาสามารถเป็นค่าส่วนบุคคลค่าวัฒนธรรมหรือค่านิยมขององค์กร
ค่านิยมเป็นพลังที่ทำให้บุคคลประพฤติตนในลักษณะเฉพาะ มันกำหนดลำดับความสำคัญของเราในชีวิตคือสิ่งที่เราพิจารณาในสถานที่แรก มันเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังตัวเลือกที่เราทำ มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับเรา ดังนั้นหากเราซื่อตรงต่อค่านิยมของเราและตัดสินใจเลือกตามความเหมาะสมวิธีที่เราดำเนินชีวิตเพื่อแสดงค่านิยมหลักของเรา นอกจากนี้หากคุณเข้าใจคุณค่าของบุคคลคุณสามารถระบุสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจริยธรรมและคุณค่าได้อธิบายไว้ในจุดด้านล่าง
1.จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
2.จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
3.ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
4.จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
5.ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
6.จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
62423471051 รุ่นที่44
3. หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะ ในด้านชีววิทยาศาสตร์ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือ ในการควบคุมสังคมและต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่สิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูก และความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วย จริยธรรมในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง นับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น เหตุใดจึงไม่สามารถโคลนมนุษย์ได้ ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรมและกฎหมายจึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรมที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัยโดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยมในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรมและความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิด อันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง และลัทธิประโยชน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิดหากว่า หลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชมคำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถาม ที่เกี่ยวกับ “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรมซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย4ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการประการแรกคือความ ชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีกประการหนึ่งคือความกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจซึ่งได้ปรากฏออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้ มิใช่ของใหม่เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยง อยู่ได้ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วยในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้โดยเฉพาะ อย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรมนั่นคือ ความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยในหลักจริยธรรม ของสังคมมนุษย์ สิ่งแรกที่สำคัญยิ่งคือการกำหนดขอบเขตของคำว่า กฎหมายได้นิยามไว้ว่าหมายถึง “กฎเกณฑ์ที่วางลงเพื่อเป็นเครื่องชี้นำของคนที่มีสติปัญญาโดยคนที่มีสติปัญญาให้มีอำนาจเหนือพวกเขา”กฎหมาย ก่อตั้งโดยมนุษย์และมอบให้แก่มนุษย์ จึงเรียกว่ากฎหมายบ้านเมืองส่วนกฎหมายที่ก่อตั้งโดยพระเจ้าและมอบให้แก่ มนุษย์ เรียกว่า กฎหมายธรรมชาติ เชื่อว่าข้อกำหนดในความประพฤติทางศีลธรรมอยู่ในขอบเขตของกฎหมายธรรมชาติ
62423471051 รุ่นที่44
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ กฎหมายและจริยธรรมล้วนเป็นเครื่องมือที่มนุษย์ สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม แม้มีความหมายที่แตกต่างกัน กล่าวคือ กฎหมายเป็น เครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่มีการลงโทษอย่าง ชัดเจน ว่าจริยธรรม เป็นเครื่องมือควบคุม พฤติกรรมบุคคล ที่ไม่มีการลงโทษชัดเจนดังเช่นกฎหมาย หากแต่เป็นการ ควบคุมในทางสังคม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าจริยธรรมเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับสูง ส่วนกฎหมายเป็นการ ควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับต่ำ จึงต้องมีบทลงโทษ สำหรับผู้ฝ่าฝืนอย่างชัดเจน เช่น การห้ามฆ่าคน ในทางกฎหมายถือเป็นการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ขั้นต่ำ หากมนุษย์ฝ่าฝืน สังคมก็จะไม่ยอมรับและถือว่าผิดกฎหมาย แต่โดยหลักจริยธรรมน้ัน ไม่เพียงแต่ห้ามมนุษย์ฆ่ากันเอง แต่ประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีความเมตตากรุณา และช่วย เหลือเกื้อกูลกันด้วย อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายและจริยธรรมมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ต่างก็มีบทบาทในทาง สังคมที่ส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะ กฎหมายไม่อาจบัญญัติข้อห้ามหรือกฎเกณฑ์ที่มนุษย์ จะต้องประพฤติปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางครอบคลุม ทุกกรณี ดังคำกล่าวท่ีว่าลำพังแต่กฎหมายย่อมไม่อาจ ที่จะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของ จริยธรรม หรือศีลธรรมที่จะวางหลักเกณฑ์ความดีและ ความชถาว ความถูก และความผิด ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตาม เพื่อควบคุมพฤติกรรมภายใน โดยเน้นการสร้างจิตสำนึก ให้ตระหนักรู่ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ แม้ไม่มีกฎหมาย บัญญัติไว้อย่างแน่ชัดก็ตาม
ค่านิยม (Value) คำว่าค่านิยม มาจากคำว่า ค่า (คุณค่า) บวกกับคำว่า นิยม ก็หมายความว่า สิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าได้รับความนิยมชมชอบจาก บุคคล หรือ สังคม สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น รูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้
ความหมายของค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม
“ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม” ทิศนา (2546) ได้อธิบายถึงความหมายไว้ว่า ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อน
2. ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
ข้อสรุป
ในขณะที่จริยธรรมถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาและยังคงเหมือนเดิมสำหรับมนุษย์ทุกคน ค่านิยมมีวิธีการแบบปัจเจกนิยมนั่นคือมันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ยังคงมีความเสถียรไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเนื่องจากเหตุการณ์ทางอารมณ์ที่สำคัญ
หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านชีววิทยาศาสตร์(bioscience)ทำให้บรรดานักวิจัย
ต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู ่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้ เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่สิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูก และความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์
(bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น“เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็น
คำาถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม และกฎหมายจึงตกอยู่ในความยุ ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม
(ethical – legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัยโดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism)ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์
สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม(the separation of law and morals)และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมายทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโยชน์สุขนิยมดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิดหากว่าหลักแต ่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม ่ได้รับความชื่นชมคำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นตํ่าของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำาถามที่เกี่ยวกับ “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม :ซึ่งอยู ่ในบริบทของการก ่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย(the sovereign birth of law)
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตารางแสดงข้อแตกต่างระหว่างจริยธรรมและกฎหมาย
จริยธรรม กฎหมาย
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์ 1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับตํ่าของมนุษย์
2. ไม่มีการลงโทษตามกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคม 2. มีบทลงโทษชัดเจน
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน 3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมภายนอก
4. เป็นข้อบังคับของสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร 4. เป็นข้อบังคับของรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นเรื่องของจิตสำนึกที่ทำเพราะเห็นว่าถูกต้องและ 5. เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการที่ต้องทำหรือต้องละเว้น
ภูมิใจที่ได้ทำไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ตอบ ค่านิยม คำว่าค่านิยม มาจากคำว่า ค่า (คุณค่า) บวกกับคำว่า นิยม ก็หมายความว่า สิ่ง
นั้นๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าได้รับความนิยมชมชอบจาก บุคคล หรือ สังคม สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น รูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้
Dictionary of the Social Science ให้คำจำกัดความของค่านิยมว่า“ค่านิยมเป็นความเชื่อ ความคิดที่คนสนใจและยึดถือเป็นมาตรฐาน ในการประพฤติ”
โรคีช ให้ความเห็นว่า ค่านิยมเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งมีลักษณะถาวร โดยเชื่อว่าวิถีทางหรือจุดหมายปลายทางชีวิต เป็นสิ่งที่ตนหรือสังคมเห็นดี เห็นชอบ หรือสมควรที่จะยึดปฏิบัติมากกว่าวิถีชีวิต หรือเป้าหมายชีวิตอย่างอื่น
เครทซ์ และคณะ ให้คำจำกัดความของค่านิยมไว้ว่าเป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งใดเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ค่านิยม จะสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของสังคม และเป็นสิ่งที่สมาชิกในสังคมยึดถือร่วมกันอย่างกว้างขวาง บุคคลใดยอมรับค่านิยมใดเป็นของตน ค่านิยมนั้นก็จะเป็นเป้าหมายในชีวิตของบุคคลนั้น
จริยธรรม
ดวงเดือน พันธุมนาวิน ได้กล่าวถึง จริยธรรมว่า เป็นระบบการทำความดี ละเว้นความชั่ว ระบบดังกล่าว หมายรวมถึงสาเหตุของการกระทำหรือไม่กระทำนั้น ตลอดจนกระบวนการเกิดและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย
พุทธทาส อินทปัญโญ ได้อธิบายความหมายของจริยธรรมว่า คำว่า moral ที่เราถือกันว่าได้แก่ ศีลธรรมนี้ เพ่งเล็งไปในทางการปฏิบัติมากกว่าหลักวิชาการ ส่วนคำว่า ethics นั้น เพ่งเล็งไปในทางหลักวิชามากกว่าที่จะเป็นตัวการปฏิบัติ ส่วนคำว่า moral นั้นหมายถึง ระเบียบปฏิบัติโดยตรง ในภาษาไทยตรงกับคำว่า ศีลธรรม ตามที่บัญญัติความหมายให้รัดกุมก็ได้แก่ระเบียบปฏิบัติ, ซึ่งปฏิบัติเพื่อให้เกิดความผาสุกและสงบสุข เนื่องด้วยสังคมเป็นส่วนใหญ่ แม้บุคคลจะเป็นผู้รับผลอันนั้น แต่ผลอันนั้นเพ่งเล็งถึงสังคมส่วนใหญ่ จะได้รับรวมกัน เป็นหน่วยใหญ่
โคลเบิร์ก กล่าวสรุปว่า จริยธรรมเป็นลักษณะของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของความประพฤติปฏิบัติในสังคม อันเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทำนั้นผิดหรือถูกโดยสังคมเป็นผู้ตัดสิน
โฮแกน กล่าวว่า จริยธรรมเป็นระบบของกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายนอกของบุคคลสร้างขึ้นเพื่อชี้แนะพฤติกรรมสังคมหรือพฤติกรรมระหว่างบุคคล
คุณธรรม
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) “คุณธรรม” เป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงประณีต และประเสริฐ
พจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2546 “คุณธรรม” หมายถึง สภาพคุณงามความดีวศิน อิทสระ “คุณธรรม” คือ อุปนิสัยอันดีงาม ซึ่งสั่งสมอยู่ในดวงจิต คุณธรรมมีความสัมพันธ์กับการทำหน้าที่จนเป็นนิสัย จนกลายมาเป็นอุปนิสัยอันดีงาม สอดคล้องกับกับ สุรพล ไกรสราวุฒ ที่กล่าวว่า “คุณธรรม” ทำให้จิตอยู่ในภาวะดีงาม พร้อมที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ ซึ่งเป็นรากฐานของจริยธรรม (สุวิมล ว่องวาณิช, บรรณาธิการ, 2548) ในทำนองเดียวกัน ทิศนา แขมมณี (2546) ได้ให้ความหมายของ “คุณธรรม” ไว้ว่า หมายถึง คุณลักษณะ หรือ สภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้องดีงาม
ความหมายของค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม
“ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม” ทิศนา (2546) ได้อธิบายถึงความหมายไว้ว่า ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
ตอบ ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจริยธรรมและคุณค่าได้อธิบายไว้ในจุดด้านล่าง:
จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะจริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนดจริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
3. หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรม มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ จริยธรรม แปลว่า ธรรมที่เป็นข้อควรปฏิบัติ ศีลธรรม กฎแห่งศีลธรรม หรือคุณความดีที่ควรปฏิบัติ
กฎหมาย คือ บทบัญญัติ ซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศได้ตราขึ้นไว้ใช้ในการบริหารกิจการบ้านเมือง และบังคับบุคคลในความสัมพันธ์ ระหว่างกัน ผู้ใดฝ่าฝืนต้องได้รับโทษหรือต้องถูกบังคับให้ปฏิบตัติามในการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมหลักการที่ใช้แบ่งแยกจะยึดทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโยชน์สุขนิยม โดย
•กฎหมายบ้านเมืองมีแนวคิดว่ากฎหมายคือ
"คำสั่ง"ของรัฐ ซึ่งไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับศีลธรรม กฎหมายจึงอาจขัดกับศีลธรรมได้ เน้นความสำคัญที่ข้อเท็จจริงอันปรากฏเกี่ยวกับกฎหมาย และไม่มีสิ่งใดมาขัดหรือแย้งกับอำนาจหรือคำสั่งดังกล่าวได้
นักปรัชญาสำคัญชื่อ John Austin กล่าวไว้ว่า
•"เมื่อกฎหมายบัญญัติว่าผิดก็ต้องผิด ไม่ผิดก็ย่อมไม่ผิด" ไม่จำเป็นต้องแสวงหาหลักการหรือเหตุผลอื่นใดมาเปลี่ยนแปลงหรือสร้างความยุติธรรม เพราะเมื่อมีกฎหมายย่อมถือว่าเป็นที่ยุติธรรมแล้ว กฎหมายในความหมายของออสตินคือ "The command of sovereign backed by threat of sanction" (คำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุด โดยมีการระวางโทษเป็นเครื่องมือรองรับ)
ดังนั้น กฎหมายของสำนักกฎหมายบ้านเมืองจึงหมายถึง “คำสั่งของรัฎฐาธิปัตย์” หรือ “คำสั่งของผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ”
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคือะไร
ตอบกฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระ
ค่านิยม หมายถึง การให้ค่าแก่สิ่งต่างๆว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี อะไรควร ไม่ควร เช่นเราให้ค่าแก่ความซื่อสัตย์ว่าเป็นสิ่งที่ดี เราจะแสดงความซื่อสัตย์ หรือบางคนพอใจจะให้ค่าแก่การมีวัตถุสิ่งของว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่ว่าการได้มาซึ่งวัตถุสิ่งของนั้นจะได้มาด้วยวิธีใด บุคคลก็จะสะสมวัตถุสิ่งของเอาไว้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ค่านิยมจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมของบุคคลในสังคม (สมพร สุทัศนีย์, 2541 : 108 – 109)
คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีเป็นสภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจ ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 2 ความหมาย คือ
1. ความประพฤติดีงาม เพือประโยชน์สุขแก่ตนและสังคม ซึ่งมีพื้นฐานมาจากหลักศีลธรรมทางศาสนา ค่านิยมทางวัฒนธรรม ประเพณีหลักกฎหมาย จรรยาบรรณวิชาชีพ
2. การรู้ จักไตร่ตรองว่าอะไรควรทํา ไม่ควรทํา และอาจกล่าวได้ ว่า คุณธรรม คือจริยธรรมแต่ละข้อที่นํามาปฏิบัติจนเป็นนิสัย เช่น เป็นคนซื่อสัตย์เสียสละ อดทน มีความรับผดชอบ ฯลฯ
จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติศีลธรรม กฎศีลธรรม ซึ่งก็คือกฎเกณฑ์ความประพฤติของมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์เอง ความเป็นผู้มีปรีชาญาณ (ปัญญาและเหตุผล) ทําให้มนุษย์มีมโนธรรม รู้จักแยกแยะความถูก ผิด ควร ไม่ควร โดยจริยธรรมมีลักษณะ 4 ประการ คือ
1. การตัดสนทางจริยธรรม (Moral Judgement) บุคคลจะมีหลักการของตนเอง เพื่อตัดสนการกระทำของผู้อื่น
2. หลักการของจริยธรรมและการตัดสินตกลงใจเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในตัวบุคคลก่อนที่จะปฏิบัติการต่างๆ ลงไป
3. หลักการทางจริยธรรมเป็นหลักการสากลที่บุคคลใช้ตัดสนใจในการกระทำสิ่งต่างๆ
4. ทัศนะเกี่ยวกับจริยธรรมได้มาจากความคิดของบุคคลหรืออุดมคติของสังคมจนเกิดเป็นทัศนะในการดำรงชีวิตของตน และของสงคมที่ตนอาศัยอยู่
ค่านิยม คือ ความเชื่อหรือหลักการที่สำคัญและยืนยงซึ่งแต่ละคนตัดสินในชีวิต มันเป็นศูนย์กลางของชีวิตของเราซึ่งทำหน้าที่เป็นมาตรฐานของพฤติกรรม พวกเขาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานะทางอารมณ์ของจิตใจของบุคคล พวกเขาสามารถเป็นค่าส่วนบุคคลค่าวัฒนธรรมหรือค่านิยมขององค์กร
จริยธรรม คือคุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวังให้คนในสังคมน้นประพฤติ มีความถูกต้องในความประพฤติ มีเสรีภาพภายในขอบเขต
คุณธรรม คือ พฤติกรรมที่แสดงถึงมาตรฐานทางศีลธรรมและเป็นรูปแบบของความคิดและการกระทำบนพ้ืนฐานของมาตรฐานทางศีลธรรม
จรรยาบรรณ คือ จริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพที่องค์กรวิชาชีพกำหนดขึ้นให้คนในองค์กรของตนประพฤติปฏิบัติ
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า
ค่านิยม จริยธรรม คุณธรรม จรรยาบรรณ มีทั้งความเหมือนและความแตกต่างกันในหลายๆด้าน
จริยธรรม คุณธรรม และจรรยาบรรณ มีความเกี่ยวข้องกันในด้านของคุณงามความดี
กล่าวคือ
จริยธรรมและจรรยาบรรณ คือแนวความประพฤติการปฏิบัติตลอดจนการดา เนินชีวิตที่ดีงาม หรือถูกต้องกับกฎเกณฑ์ของสังคม ส่วนคุณธรรมเป็นเรื่องภายในจิตใจของคน ไม่มีข้อบังคับแต่เป็นความดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่จิตใจส่งไปยังการประพฤติปฏิบัติ
โดยเฉพาะในด้านชีววิทยาศาสตร์ (bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่งสิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น “เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม และกฎหมาย จึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม (ethical-legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโชยน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่าหลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชม คำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้อง “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of low)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอย่ในใจซึ่งได้ปรากฎออกมาเป็นวามปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยหลักจริยธรรมของสังคมมนุษย์
การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรม เช่น
1. หลักการพื้นฐาน
จริยธรรม : ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
2. ผู้ตัดสินความผิด
จริยธรรม : บุคคลผู้กระทำ
กฎหมาย : การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3. บทลงโทษ
จริยธรรม : การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม
กฎหมาย : ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
กฎหมายและจริยธรรมล้วนเป็นเครื่องมือที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อใช้ในการควบคุมพฤติกรรมของบุคคลในสังคม แม้มีความหมายที่แตกต่างกัน กล่าวคือ
กฎหมาย เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่มีการลงโทษอย่างชัดเจน
ส่วนจริยธรรม เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมบุคคลที่ไม่มีการลงโทษชัดเจน
ดังเช่น
กฎหมาย หากแต่เป็นการควบคุมในทางสังคม ซึ่งอาจกล่าได้ว่า
จริยธรรมเป็นการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับสูง ส่วนกฎหมายเป็นการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ในระดับตาจึงต้องมีบทลงโทษ สำหรับผู้ฝ่าฝืนอย่างชัดเจน เช่น การห้ามฆ่าคน ในทางกฎหมายถือเป็นการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์ขั้นต่ำ หากมนุษย์ฝ่าฝืน สังคมก็จะไม่ยอมรับและถือว่าผิดกฎหมาย แต่โดยหลักจริยธรรมนั้น ไม่เพียงแต่ห้ามมนุษย์ฆ่ากันเองแต่ประสงค์ที่จะให้มนุษย์มีความเมตตากรุณาและช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วย
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรม
ตอบ = คุณธรรม (Virtue) เป็นสิ่งที่บุคคลเห็นว่าดีงามมีประโยชน์มาก และเลวน้อยมีประโยชน์น้อย ความเอื้อเฟื้อ ความอดทน ความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การมีระเบียบวินัยเป็นต้น คุณธรรมในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกัน บุคคลในสังคมจะเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ดีไม่นั้นขึ้นกับวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ศาสนา และการศึกษาของสังคม คุณธรรมมักมีความเกี่ยวข้องกับหลักทางศาสนา คุณธรรมคือสิ่งที่ดีงาม
ค่านิยม (Value) ให้ความหมายไว้ ๔ ประการ ได้แก่ ประการแรก ค่านิยม หมายถึง สิ่งสำคัญในหลายรูปแบบ เช่น การเรียงลำดับความสำคัญของลักษณะต่างๆ ประการที่สอง ค่านิยม หมายถึง การร่วมกลุ่มของความเชื่อความคิดและความรู้สึกต่างๆที่มีอิทธิพลต่อบุคคลในการเลือกการประเมินบุคคลและสถานการณ์อื่นๆและความคิดเห็นมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคล ประการที่สาม ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่น่าปรารถนาของบุคคลในต่างๆ เช่น การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ศาสนา ประการสุดท้าย ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่ปรารถนา มีลักษณะที่ดีงามถูกต้องใกล้เคียงกับคุณธรรมและจริยธรรม
จริยธรรม (Morality) เป็นระบบของการทำความดีละเว้นความชั่ว มีทั้งปัจจัยนำเข้า(Input) เป็นปัจจัยเชิงเหตุทั้งด้านจิตใจและสถานการณ์ของจริยธรรมและพฤติกรรมจริยธรรม รวมทั้งมีปัจจัยส่งออก(Output) จริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อค่านิยมหรือคุณธรรม ตั้งแต่ 2 ตัวขัดแย้งกัน ทำให้บุคคลต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการเลือกที่จะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง บุคคลที่ตัดสินใจเลือกคุณธรรมหรือค่านิยมตัวที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวมมากกว่าที่เป็นประโยชน์แก่เฉพาะตนหรือกลุ่มพวกพ้องในกลุ่มเล็กๆจึงมักเป็นบุคคลที่มีจริยธรรมสูง
2.ข้อแตกต่างระหว่างค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ตอบ = ค่านิยม เป็นความคิดพฤติกรรมและสิ่งอื่นที่คนในสังคมหนึ่งเห็นว่ามีคุณค่าจึงยอมรับมาปฏิบัติและหวงแหนไว้ระยะหนึ่งค่านิยมมักเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัยความคิดเห็นของคนในสังคม ค่านิยมเป็นเจตคติความเชื่อที่ฝั่งลึกในชีวิตของบุคคลมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลในทุกด้าน ค่านิยม เป็นสิ่งสำคัญประการหนึ่งในการคงอยู่ของสังคมมนุษย์ ค่านิยมมีบทบาทต่อความคิดการแสดงออกทางพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมนั้น
คุณธรรมเป็นพฤติกรรมที่แสดงถึงมาตรฐานทางศีลธรรมและเป็นรูปแบบของความคิดและการกระทำบนพื้นฐานของมาตรฐานทางศีลธรรม แตกต่างจาก จริยธรรม คือ คุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวังให้คนในสังคมนั้นประพฤติ มีความถูกต้องในความประพฤติมีเสรีภาพในขอบเขต ส่วน จรรยาบรรณ เป็นจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพที่องค์กรวิชาชีพกำหนดขึ้นให้คนในองค์กรของตนประพฤติปฏิบัติ
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ = ความถูกและความผิดตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในทฤษฏีกฎหมายบ้านเมือง(legal positivism) กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยม(utilitarianism)ของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม(the separation of law and morals) จากการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฏีกฎหมายบ้านเมืองลัทธิประโยชน์สุขนิยม “ การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรมซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย(the sovereign birth of law) ” ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นในใจได้ปรากฏออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรม กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ การกำหนดขอบเขตของคำว่า ”กฎหมาย” John Austin ได้นิยามไว้ว่า “กฎหมายที่วางลงเพื่อเป็นเครื่องชี้นำของคนที่มีสติปัญญาโดยคนที่มีสติปัญญาให้มีอำนาจเหนือพวกเขา”
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ = กฎหมายทำขึ้นโดยตุลาการของประเทศ ทุกคนในประเทศต้องปฏิบัติตามกฎหมายชัดเจนกำหนดสิ่งที่คนต้องหรือไม่ต้องทำ ดังในกรณีที่มีการฝ่าฝืนกฎหมายอาจส่งผลให้มีการลงโทษหรือลงโทษหรือบางครั้งทั้งคู่
จริยธรรมเป็นจรรยาบรรณที่ได้รับการเห็นชอบและนำมาใช้โดยประชาชน มันกำหนดมาตรฐานว่าบุคคลควรมีชีวิตและปฎิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างไร
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
1 กฎหมายถูกกำหนดให้เป็นระบบกฎเกณฑ์ที่ควบคุมทั้งสังคมและการกระทำของสมาชิกแต่ละคน จริยธรรมหมายถึงศาสตร์แห่งการประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานของมนุษย์
2 กฎหมายประกอบด้วยชุดของกฎและข้อบังคับในขณะที่จริยธรรมประกอบด้วยแนวทางและหลักการที่แจ้งให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตหรือวิธีการปฏิบัติตนในสถานการณ์เฉพาะ
3 กฎหมายถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลซึ่งอาจเป็นในระดับท้องถิ่นภูมิภาคระดับประเทศหรือระหว่างประเทศ ในทางตรงข้ามจริยธรรมถูกควบคุมโดยบรรทัดฐานของบุคคลกฎหมายหรือวิชาชีพเช่นจรรยาบรรณในการทำงานจรอยธรรมสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ
4 กฎหมายมีการแสดงออกในรัฐธรรมนูญในรูปแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษร ตรงข้ามกับจริยธรรมไม่สามารถพบได้ในรูปแบบการเขียน
5 การฝ่าฝืนกฎหมายอาจส่งผลให้มีการลงโทษหรือลงโทษหรือทั้งสองอย่างที่ไม่ได้อยู่ในการละเมิดจริยธรรม
6 วัตถุประสงค์ของกฎหมายคือการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศและคุ้มครองประชาชนทุกคน แตกต่างจริยธรรมที่เป็นจรรยาบรรณที่ช่วยให้บุคคลตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดและวิธีการปฏิบัติ
7 กฎหมายสร้างความผูกพันทางกฎหมาย แต่จริยธรรมไม่มีผลผูกพันกับประชาชน
สรุป กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วยแม้ว่าทั้งกฎหมายและจริยธรรมจะทำให้แนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากสองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระและเลือก
ข้อที่1 อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรม
ตอบ
ค่านิยม (Value) หมายถึง ลักษณะทางจิตที่นักวิชาการให้ความหมายอย่างน้อย
๔ ประการ ได้แก่ ประการแรก ค่านิยม หมายถึง สิ่งสำคัญซึ่งนักวิชาการสามารถวัดได้ในหลายรูปแบบ
เช่น การให้เรียงลำดับความสำคัญของลักษณะต่าง ๆ (Rokeach, ๑๙๙๗๓ : สุนทรี โคมิน และสนิท สมัครการ,๒๕๒๒) การเปรียบเทียบลักษณะเป็นคู่ ๆ (เปรมสุรีย์ เชื่อมทอง, ๒๕๓๖) และ การวัดโดยมาตรประเมินรวมค่า(อุบล เลี้ยววาริณ, ๒๕๓๔) เป็นต้น ประการที่สอง ค่านิยม หมายถึง การรวมกลุ่มของความเชื่อความคิด และความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อบุคคลในการเลือก/การประเมินบุคคลและสถานการณ์อื่นและความคิดเห็น ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมของบุคคล (Robinson & Shaver, ๑๙๗๓) ประการที่สาม
ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่น่าปรารถนาของบุคคล ในด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ศาสนา
คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดี เป็นสภาพคุณงามความดีทางความ
ประพฤติและจิตใจ ซึ่งสามารถแยกออกเป็น ๒ ความหมาย คือ
๑. ความประพฤติดีงาม เพื่อป ระโยชน์สุขแก่ตนและสังคม ซึ่งมีพื้นฐานมาจากหลัก
ศีลธรรมทางศาสนา ค่านิยมทางวัฒนธรรม ประเพณี หลักกฎหมาย จรรยาบรรณวิชาชีพ
๒. การรู้จักไตร่ตรองว่าอะไรควรทำ ไม่ควรทำ และอาจกล่าวได้ว่า คุณธรรม คือ
จริยธรรมแต่ละข้อที่นำมาปฏิบัติจนเป็นนิสัย เช่น เป็นคนชื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีความ
รับผิดชอบ ฯลฯ
จริยธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม ซึ่งก็คือ
กฎเกณฑ์ความประพฤติของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์เอง ความเป็นผู้มีปรีชาญาณ
(ปัญญาและเหตุผล) ทำให้มนุษย์มีมโนธรรม รู้จักแยกแยะความถูก ผิด ควร ไม่ควร โดย
จริยธรรมมีลักษณะ ๔ ประการ คือ
๑. การตัดสินทางจริยธรรม (Moral Judgement) บุคคลจะมีหลักการของตนเอง เพื่อ
ตัดสินการกระทำของผู้อื่น
๒. หลักการของจริยธรรมและการตัดสินตกลงใจเป็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในตัว
บุคคลก่อนที่จะปฏิบัติการต่างๆ ลงไป
๓. หลักการทางจริยธรรมเป็นหลักการสากลที่บุคคลใช้ตัดสินใจในการกระทำสิ่งต่าง ๆ
๔. ทัศนะเกี่ยวกับจริยธรรมได้มาจากความคิดของบุคคลหรืออุดมคติของสังคมจน
เกิดเป็นทัศนะในการดำรงชีวิตของตน และของสังคมที่ตนอาศัยอยู่
ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม อาจจะเป็นเพียงมุมมองของแต่ละคนที่ใช่กฎเกณมาตั้งทำให้เราสามารถทำงานร่วมกันหรืออยู่รวมกันในสังคมได้ หลายคนคงเกิดคำถามประมาณนี้ในเวลาที่มีคนเห็นต่างจากตัวเรา จริงๆแล้วมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะให้ความสำคัญกับความคิด ความรู้สึก หรือเหตุผลของตัวเองก่อนของผู้อื่นเสมอ เพราะคนเรามักคิดว่าเราเป็นพระเอก นางเอกในชีวิตจริง แต่ในความจริงแล้วเราควรให้ความสำคัญกับความคิด ความรู้สึก หรือเหตุผลของผู้อื่นบ้าง ลองเปลี่ยนมุมมองว่าถ้าเราเป็นคนอื่นๆ แล้วมองกลับมาที่ตัวเราเองนั้น คิดว่าคนอื่นจะรู้สึกชื่นชมยินดีกับสิ่งที่ตัวเราเป็นอยู่ตอนนี้หรือไม่ คำตอบมันก็อาจจะคล้ายๆกับความรู้สึกของตัวคุณเองเวลาที่มองคนที่คิดต่างออกไปจากคุณนั่นแหละ
2. ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ตอบ
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
จริยธรรม คือ ความประพฤติ ตามค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยใช้วิชาจริยศาสตร์มาวิเคราะห์แยกแยะว่าสิ่งใดดี ควรกระท าและสิ่งใดชั่วควรละเว้นคุณธรรม คือ คุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงาม ซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจจรรยาบรรณ คือ ประมวลกฎเกณฑ์ความประพฤติหรือประมวลมารยาทของผู้ประกอบอาชีพนั้น ๆ ต้องเป็นเอกลักษณ์ทางวิชาชีพ ใช้ความรู้ มีองค์กรหรือสมาคมควบคุมจรรยาบรรณ มีความส าคัญและจ าเป็นต่อทุกอาชีพ ทุกสถาบัน และหน่วยงาน เพราะเป็นที่ยึดเหนี่ยวควบคุมการประพฤติ ปฏิบัติด้วยความดีงาม
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านชีววิทยาศาสตร์ (bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่งสิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น “เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม และกฎหมาย จึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม (ethical-legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโชยน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่าหลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชม คำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้อง “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of low)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอย่ในใจซึ่งได้ปรากฎออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยหลักจริยธรรมของสังคมมนุษย์
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบายตอบ กฎหมายและจริยธรรม มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ต่างก็มีบทบาทในทางสังคมที่ส่งเสริมและสนับสนุนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้เพราะกฎหมายไม่อาจบัญญัติข้อห้ามหรือกฎเกณฑ์ที่มนุษย์
จะต้องประพฤติปฏิบัติได้อย่างกว้างขวางครอบคลุมทุกกรณี ดังคำกล่าวที่ว่าลำพังแต่กฎหมายย่อมไม่อาจที่จะควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ได้ จึงเป็นหน้าที่ของ
จริยธรรม หรือศีลธรรมที่จะวางหลักเกณฑ์ความดีและความชั่ว ความถูก และความผิด ให้มนุษย์ได้ปฏิบัติตามเพื่อควบคุมพฤติรรมภายใน โดยเน้นการสร้างจิตสำนึกให้ตระหนักรู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ แม้ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้อย่างแน่ชัดก็ตามตัวอย่างที่ไม่อาจขีดเส้นแบ่งได้อย่างชัดเจนระหว่างกฎหมายกับจริยธรรม ก็คือการค้นคว้าวิจัย และการทดลองซึ่งมีกฎหมายคุ้มครอง ส่งเสริม และสนับสนุนการวิจัยที่กำหนดให้ผู้วิจัยสามารถค้นคว้า และเผยแพร่งานวิจัยเพื่อพัฒนาความรู้ในศิลปะวิทยาการแขนงต่างๆ อย่างรอบด้าน ไม่ว่าในทางวิทยาศาสตร์สังคมศาสตร์ และศาสตร์
อื่นๆ ทุกแขนง แต่กฎหมายดังกล่าวก็ไม่อาจวางหลักเกณฑ์ให้สามารถควบคุมนักวิจัยให้อยู่ในระดับมาตรฐาน โดยให้มีความรู้ความชำนาญยิ่งกว่านักวิซาการทั่วไป รวมทั้งให้ความคุ้มครองสวัสดิภาพของประชาชนทั่วไป จากการวิจัยที่อาจล่วงละเมิดต่อสิทธิส่วนบุคคล คงมีเพียงกฎหมาย
ที่ควบคุมการประกอบวิซาซีพในด้านการแพทย์
ตารางแสดงข้อแตกต่างระหว่างจริยธรรมและกฎหมาย
จริยธรรม
เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์
ไม่มีการลงโทษตามกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคม
เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน
เป็นข้อบังคับของสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
เป็นเรื่องของจิตสำนึกที่ทำเพราะเห็นว่าถูกต้องและ
ภูมิใจที่ได้ทำ
กฎหมาย
เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์
มีบทลงโทษชัดเจน
เป็นการควบคุมพฤติกรรมภายนอก
เป็นข้อบังคับของรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร
เป็นบทบัญญัติว่าด้วยการที่ต้องทำหรือต้องละเว้น
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
-ค่านิยม หมายถึง พฤติกรรมของมนุษย์ที่ฝังแน่นอยู่ในตัวคน และเป็นสิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติกันต่อๆ มา หรืออาจหมายถึง การยอมรับนับถือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนที่มีอยู่ต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจเป็นวัตถุ มนุษย์ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ
-คุณธรรม Morality) เป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงประณีต และประเสริฐ คุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจสูง และประเสริฐ
-จริยธรรม (Ethics) ความเป็นผู้มีจิตใจสะอาด บริสุทธิ์ เสียสละหรือประพฤติดีงาม
จริยธรรมเป็นเรื่องที่นักการศึกษาและนักวิชาการสนใจที่จะศึกษา เพื่อนำ มาแก้ปัญหาจริยธรรมในสังคมไทย และหาทางปลูกฝังให้บุคคลในสังคมมีจริยธรรมควบคู่ไปกับคุณธรรม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ในการศึกษาจริยธรรมได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลายในทัศนะของตน
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
-จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
-ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามกฎหมาย นอกจากนี้จริยธรรมยังเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมาย ความแตกต่างหลัก ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตาม
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคือะไร
-กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระ
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
-ค่านิยม หมายถึง พฤติกรรมของมนุษย์ที่ฝังแน่นอยู่ในตัวคน และเป็นสิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติกันต่อๆ มา หรืออาจหมายถึง การยอมรับนับถือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนที่มีอยู่ต่อสิ่งต่างๆ ซึ่งอาจเป็นวัตถุ มนุษย์ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ
-คุณธรรม Morality) เป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงประณีต และประเสริฐ คุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจสูง และประเสริฐ
-จริยธรรม (Ethics) ความเป็นผู้มีจิตใจสะอาด บริสุทธิ์ เสียสละหรือประพฤติดีงาม
จริยธรรมเป็นเรื่องที่นักการศึกษาและนักวิชาการสนใจที่จะศึกษา เพื่อนำ มาแก้ปัญหาจริยธรรมในสังคมไทย และหาทางปลูกฝังให้บุคคลในสังคมมีจริยธรรมควบคู่ไปกับคุณธรรม เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ในการศึกษาจริยธรรมได้มีผู้ให้ความหมายไว้หลากหลายในทัศนะของตน
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
-จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
-ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามกฎหมาย นอกจากนี้จริยธรรมยังเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมาย ความแตกต่างหลัก ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตาม
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคือะไร
-กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระ
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
รหัสนักศึกษา 62423471007 รุ่นที่ 44
ข้อที่ 1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรม
ตอบ ค่านิยม”(Values)หมายถึง สิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตของมนุษย์ สิ่งที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรม ในการแสดงออกของมนุษย์ในสังคม แต่ละบุคคลจะมีการพิจารณาไตร่ตรองแล้วว่าดีและยอมรับที่ จะประพฤติปฏิบัติตามในทิศทางเดียวกันในสังคมนั้น ๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลง ได้ตามกาลเวลาและความคิดเห็นของบุคคลในสังคมนั้นๆ
เป็นความคิด พฤติกรรมและสิ่งอื่นใดที่คนในสังคมหนึ่งมองว่ามีคุณค่า จึงยอมรับมาปฏิบัติตามและหวงแหนไว้ในระยะเวลาหนึ่ง ค่านิยมสามารถเปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลาและความคิดเห็นของคนในสังคมนั้น ค่านิยมเป็นสิ่งที่บุคคลพอใจหรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แล้วยอมรับไว้เป็นความเชื่อหรือความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
ค่านิยมจึงเป็นเสมือนพื้นฐานแห่งการประพฤติ ปฏิบัติของบุคคลโดยตรง
คุณธรรม คือ หลักจริยาที่สร้างความรู้สึกชอบชั่วดีในทางศีลธรรม มีคุณงามความดีภายในจิตใจ อยู่ในชั้นสมบูรณ์ เตี่ยมเปี่ยมด้วยความสุข การเป็นผู้มีคุณธรรม คือ การปฏิบัติตนอยู่ในกรอบอันดีงาม คุณธรรม เป็นคุณสมบัติที่เป็นคนดี ความถูกต้อง ซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจของบุคคล ซึ่งพร้อมที่จะกระทำพฤติกรรมต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อตนเองต่อผู้อื่น หรือทั้งตนเอง และผู้อื่น คุณธรรม เปรียบเสมือนหลักธรรม จริยธรรมที่สร้างความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในทางศีลธรรม มีคุณคุณภาพ
จริยธรรม คือ จริย + ธรรมะ คือ ความประพฤติที่เป็นธรรมชาติ เกิดจากคุณธรรมในตัวเอง ก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยในสังคม เป็นหลักความประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ดีงาม มีคุณค่า ควรแก่การนำไปดำเนินชีวิต หรือหลักในการดำเนินชีววิตอย่างประเสริฐ เป็นความประพฤติที่ประกอบด้วยศีล
จริยธรรม เป็นธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม ซึ่งก็คือ
กฎเกณฑ์ ความประพฤติของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติของมนุษย์เอง ความเป็นผู้มีปรีชาญาณ (ปัญญาและเหตุผล) ทำให้มนุษย์มีมโนธรรม รู้จักแยกแยะความถูก ผิด ควร ไม่ควร ลักษณะของผู้มีจริยธรรม
สรุปได้ว่า ค่านิยม คือ เป็นสิ่งกำหนดคุณค่าการกระทำของมนุยษ์ เป็นสิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตของมนุษย์ สิ่งที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรม ในการแสดงออกของมนุษย์ในสังคม
คุณธรรม คือ ความรู้สึกชอบชั่วดีในทางศีลธรรม มีคุณธรรม รู้สึกผิดชอบชั่วดีภายในใจ ประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบอันดีงาม และ
จริยธรรม คือ ความประพฤติที่เกิดจากการมีคุณธรรมในตัวเอง เป็นหลักความประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องดีงามมีคุณค่า
รหัสนักศึกษา62423471007 รุ่นที่44
ข้อที่ 2. ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ตอบ ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจริยธรรมและคุณค่าได้อธิบายไว้ในจุดด้านล่าง:
จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
ข้อสรุป
ในขณะที่จริยธรรมถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาและยังคงเหมือนเดิมสำหรับมนุษย์ทุกคน ค่านิยมมีวิธีการแบบปัจเจกนิยมนั่นคือมันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ยังคงมีความเสถียรไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเนื่องจากเหตุการณ์ทางอารมณ์ที่สำคัญ
รหัสนักศึกษา62423471007 รุ่นที่44
ข้อที่ 3. หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านชีววิทยาศาสตร์ (bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่งสิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น “เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม และกฎหมาย จึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม (ethical-legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโชยน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่าหลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชม คำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้อง “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of low)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอย่ในใจซึ่งได้ปรากฎออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยหลักจริยธรรมของสังคมมนุษย์
รหัสนักศึกษา62423471007 รุ่นที่44
ข้อที่ 4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรธ มีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ กฎหมายสามารถนิยามได้ว่าเป็นระบบของกฎที่แต่ละประเทศหรือชุมชนยอมรับว่าเป็นการควบคุมการกระทำของสมาชิก ดังนั้นกฎหมายจึงตามมาด้วยบทลงโทษหรือการลงโทษสำหรับการละเมิดกฎหรือข้อบังคับที่บังคับใช้เหล่านี้
จริยธรรมคือระบบของหลักการทางศีลธรรม สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การสร้างคุณธรรมในหมู่คนในสังคมหนึ่ง ๆ หรือในชุมชน
กฎหมายกับจริธรรม มีข้อแตกต่างกันดังนี้
1. จริยธรรมเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์ในขณะที่กฎหมายเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์ กล่าวคือ จริยธรรมควบคุมความคิดจิตใจของมนุษย์ที่เกิดจากคุณธรรมในตัวเอง เป็นเครื่องมือที่ควบคุมความประพฤติที่ประกอบด้วยศีล แต่กฎหมายควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ดีของมนุษย์บุคคลที่ถูกกฎหมายลงโทษคือบุคคลที่ประพฤติผิด ประพฤติในทางที่ไม่ดี
2. จริยธรรมไม่มีการลงโทษด้วยกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคมในขณะที่กฎหมายมีบทลงโทษชัดเจน กล่าวคือหากประพฤติผิดจริยธรรมก็จะถูกสังคมประนาม แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็จะได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด เช่นฆ่าคนตาย ก็ต้องรับโทษติดคุก เป็นต้น
3. จริยธรรมเป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน กฎหมายควบคุมจากภายนอก จริยธรรมคือความประพฤติที่เกิดจากคุณธรรมในตัวเองเป็นความประพฤติที่ดีงามมีคุณค่าเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์ส่วนกฎหมายควบคุมพฤติกรรมที่เกิดจากการกระทำ
4. จริยธรรมเป็นข้องบังคับของสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนกฎหมายเป็นข้อบังคับของรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร กฎหมายจะบัญญัติไว้เลยว่าผู้ใดกระทำผิดแบบใดจะต้องได้รับโทษตามความผิดนั้น
5. คุณธรรมเป็นเรื่องของจิตสำนึกที่ทำเพราะเห็นถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ ส่วนกฎหมายเป็นเรื่องของบทบัญญัติว่าด้วยการที่ต้องทำหรือควรละเว้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กล่าวคือคุณธรรมเป็นเรื่องของความรู้ผิดชอบชั่วดีความมีจิตสำนึกที่จะทำ แต่กฎหมายเป็นเรื่องของข้อกำหนดว่าห้ามทำหรือละเว้น
62423471003 รุ่นที่44
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ค่านิยม คือการจัดรูปพฤติกรรมของมนุษย์ที่ฝังแน่นอยู่ในตัวคน และเป็นสิ่งที่เรายึดถือปฏิบัติกันต่อมา เช่น การทำบุญตักบาตร
คุณธรรม คือหลักของความดี ความงาม ความถูกต้อง ซึ่งจะแสดงออกมาโดยการกระทำ ทางกายวาจาและจิตใจของแต่ละบุคคล ประพฤติปฏิบัติจนเกิดเป็นนิสัยเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเองผู้อื่นและสังคม
จริยธรรม คือการปรับพฤติกรรมให้เข้ากับกฎเกณฑ์หรืมาตรฐานของความประพฤติที่ถูกต้องหรือดีงาม
62423471003รุ่นที่44
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ค่านิยมนั่นเป็นสิ่งที่บุคคลพอใจหรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แล้วยอมรับไว้เป็นความเชื่อ หรือความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ค่านิยมจะสิงอยู่ในตัวบุคคลในรูปของความเชื่อตลอดไป จนกว่าจะพบกับค่านิยมใหม่ ซึ่งตนพอใจกว่าก็จะยอมรับไว้ เมื่อบุคคลประสบกับ การเลือกหรือเผชิญกับเหตุการณ์ จะต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่งเข้าจะนำค่านิยมมาประกอบการตัดสินใจทุกครั้งไป ค่านิยมจึงเป็นเสมือนพื้นฐานแห่งการประพฤติ ปฏิบัติของบุคคลคุณธรรมเป็นหลักเกณฑ์ฝ่ายดีที่เป็นสำนึกที่เกิดขึ้นในจิตใจมนุษย์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนแล้ว ส่วนจริยธรรมเป็นกฎของการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่ควรเป็นที่ยอมรับ ส่วนจรรยาบรรณนั้นเป็นข้อกติกาเพื่อกำหนดให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มต้องประพฤติในสภาวการณ์ต่างๆนั่นเอง
62423471003 รุ่นที่44
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
กฎหมายถูกอธิบายว่าเป็นชุดของกฎและระเบียบที่สร้างขึ้นโดยรัฐบาลเพื่อควบคุมสังคมทั้งหมด กฎหมายได้รับการยอมรับยอมรับและบังคับใช้ในระดับสากล เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยความสงบเรียบร้อยความยุติธรรมในสังคมและเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนทั่วไปและรักษาผลประโยชน์ของพวกเขา ทำขึ้นหลังจากพิจารณาหลักจริยธรรมและคุณค่าทางศีลธรรม
ส่วนจริยธรรมคือการปรับพฤติกรรมให้เข้ากับกฎเกณฑ์หรืมาตรฐานของความประพฤติที่ถูกต้องหรือดีงาม
62423471003 รุ่นที่44
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
มีดังนี้จริยธรรมเป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์ ไม่มีการลงโทษตามกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคม เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน เป็นข้อบังคับจากสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรและเป็นเรื่องของจิตสำนึก ทำเพราะเห็นว่าถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ
ส่วนกฎหมาย เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์ มีบทลงโทษที่ชัดเจน เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายนอก เป็นข้อบังคับจากรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษรและเป็นบทบัญญัติว่าต้องทำหรือต้องละเว้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
อริศรา แสงรัศมี
62423471099
1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
-คุณธรรม” (Virtue) เป็นสิ่งที่บุคคลเห็น ว่าดีงามมาก มีประโยชน์มาก มีประโยชน์น้อย ในกาลเทศะหนึ่ง ๆ เช่น ความเอื้อเฟื้อ ความ อดทน ความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ การมีระเบียบวินัย เป็นต้น สิ่งที่เป็น คุณธรรมในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกัน การที่บุคคลในสังคมจะเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นกับวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ศาสนา และการศึกษาของสังคม
-ค่านิยม” (Value) เป็นลักษณะทางจิตที่ค่านิยม หมายถึง ค่านิยม หมายถึง สิ่งที่น่าปรารถนา มีลักษณะที่ดีงาม ถูกต้อง ใกล้เคียง กับคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งค่านิยมเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่น ในอดีต ค่านิยม เกี่ยวกับความรักชาติ มีความสําคัญ แต่ในปัจจุบัน ค่านิยมเกี่ยวกับการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกลับมีความสําคัญ เพราะการมีเทคโนโลยีที่สามารถเชื่อมคนได้ท้ังโลก และการเน้นเกี่ยวกับธุรกิจการค้าทําให้ลดความเป็น ชาตินิยมลง หรือสังคม ในแต่ละประเทศมีค่านิยมที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับ วัฒนธรรม รากฐานของประเทศชาตินั้น เช่น บางประเทศให้ความสําคัญกับความสัมพันธ์หรือพวกพ้อง (Collectivism) ในขณะที่บางประเทศกลับให้ความสําคัญเกี่ยวกับความเป็นตัวของตัวเอง เน้นอัตตบุคคล (Individualism) ระดับกลุ่มในสังคมหนึ่ง ๆ คน ในประเทศเดียวกัน แต่มีความแตกต่างกันในด้านต่าง ๆ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา ฐานะ การศึกษา เป็นต้น บุคคลแต่ละกลุ่มนี้ก็จะมีค่านิยมที่แตกต่างกัน ระดับภายในบุคคล มักเป็นค่านิยม ที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัย (Kohlberg, ๑๙๗๖) เนื่องจากความสามารถทางการรู้ การคิด หรือสติปัญญา มีการเปลี่ยนแปลงหรือมีประสบการณ์ทางสังคมเพิ่มขึ้นเช่นค่านิยมในการทํางาน
-จริยธรรม” (Morality) (Piaget, ๑๙๓๒: Kohlberg, ๑๙๗๖) เป็นระบบของ การทําความดีละเว้นความชั่ว มีทั้งปัจจัยนําเข้า (Input) ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงเหตุทั้งทางด้านจิตใจและ สถานการณ์ของจริยธรรมและพฤติกรรมจริยธรรมรวมทั้งมีปัจจัยส่งออก(Output) ซึ่งเป็นผลของการมี จริยธรรมหรือมีพฤติกรรมจริยธรรม ซึ่งผลนี้อาจอยู่ในรูปแบบทั้งจิตลักษณะและพฤติกรรมของบุคคล ผู้กระทํา และผลต่อบุคคลอื่น ต่อกลุ่ม ต่อสิ่งแวดล้อม และต่อโลก จริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อค่านิยมหรือ คุณธรรม ต้ังแต่ ๒ ตัวขัดแย้งกัน ทําให้บุคคลต้องตกอยู่ในสภาพท่ีต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการ เลือกท่ีจะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง เช่น ความกตัญญูต่อบุคคล ขัดแย้งกับความ รับผิดชอบต่อหน้าที่ เป็นต้น บุคคลที่ตัดสินใจเลือกคุณธรรมหรือค่านิยม ตัวที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวม มากกว่าท่ีเป็นประโยชน์แก่เฉพาะตนหรือพวกพ้องในกลุ่มเล็ก ๆ จึงมักเป็นบุคคลท่ีมีจริยธรรมสูง ดังนั้น จริยธรรมจึงมีความหมายครอบคลุมทั้งสาเหตุ กระบวนการ และผลของการกระทําความดีละเว้น ความชั่ว
62423471099
2. ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
คุณธรรม(Virtue) เป็นสิ่งที่บุคคลเห็นความดีงามมากกว่ามีประโยชน์มากความเอื้อเฟื้อ ความอดทนความขยันขันแข็ง ความซื่อสัตย์ความรับผิดชอบต่อหน้าที่การมีระเบียบวินัยสิ่งที่เป็น คุณธรรมในแต่ละสังคมอาจจะแตกต่างกันการที่บุคคลในสังคมจะเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่นั้นขึ้นกับวัฒนธรรม เศรษฐกิจศาสนาและการศึกษาของสังคม
ค่านิยม(Value) เป็นลักษณะทางจิตที่ค่านิยม หมายถึงค่านิยม หมายถึงสิ่งที่น่าปรารถนามีลักษณะที่ดีงามถูกต้องใกล้เคียง กับคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งค่านิยมเหล่านี้อาจเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยในอดีตค่านิยม เกี่ยวกับความรักชาติ มีความสําคัญแต่ในปัจจุบันค่านิยมเกี่ยวกับการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดกลับมีความสําคัญ
จริยธรรม หมายถึงคุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวังให้คนในสังคมนั้นประพฤติมีความถูกต้องในความประพฤติมีเสรีภาพภายในขอบเขตของมโนธรรม (Conscience) เป็นหน้าที่ที่สมาชิกในสังคมพึงประพฤติปฏิบัติต่อตนเองต่อผู้อื่น และต่อสังคมทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้นในสังคม การที่จะปฏิบัติให้เป็นไปเช่นนั้นได้ ผู้ปฏิบัติจะต้องรู้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
62423471099
3. หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
กฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่งสิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น “เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม และกฎหมาย จึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม (ethical-legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโชยน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่าหลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชม คำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้อง “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of low)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอย่ในใจซึ่งได้ปรากฎออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยหลักจริยธรรมของสังคมมนุษย์
62423471099
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
จริยธรรม ธรรม ที่เราต้องปฏิบัติ ศีลธรรม กฏแห่งกรรม
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับสูงของมนุษย์
2. ไม่มีการลงโทษตามกฎหมายแต่ลงโทษโดยสังคม
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายใน
4. เป็นข้อบังคับจากสังคมที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นเรื่องของจิตสำนึก ทำเพราะเห็นว่าถูกต้องและภูมิใจที่ได้ทำ
กฎหมาย
1. เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมระดับต่ำของมนุษย์
2. มีบทลงโทษที่ชัดเจน
3. เป็นการควบคุมพฤติกรรมจากภายนอก
4. เป็นข้อบังคับจากรัฐที่เป็นลายลักษณ์อักษร
5. เป็นบทบัญญัติว่าต้องทำหรือต้องละเว้น ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ตอบ ค่านิยม (Value) คำว่าค่านิยม มาจากคำว่า ค่า (คุณค่า) บวกกับคำว่า นิยม ก็หมายความว่า สิ่ง
นั้นๆ เป็นสิ่งที่มีคุณค่าได้รับความนิยมชมชอบจาก บุคคล หรือ สังคม สิ่งเหล่านั้นอาจเป็น รูปธรรมหรือนามธรรมก็ได้
Dictionary of the Social Science ให้คำจำกัดความของค่านิยมว่า“ค่านิยมเป็นความเชื่อ ความคิดที่คนสนใจและยึดถือเป็นมาตรฐาน (Standard) ในการประพฤติ”
โรคีช ให้ความเห็นว่า ค่านิยมเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งมีลักษณะถาวร โดยเชื่อว่าวิถีทางหรือจุดหมายปลายทางชีวิต เป็นสิ่งที่ตนหรือสังคมเห็นดี เห็นชอบ หรือสมควรที่จะยึดปฏิบัติมากกว่าวิถีชีวิต หรือเป้าหมายชีวิตอย่างอื่น
เครทซ์ และคณะ ให้คำจำกัดความของค่านิยมไว้ว่าเป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งใดเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ค่านิยม จะสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของสังคม และเป็นสิ่งที่สมาชิกในสังคมยึดถือร่วมกันอย่างกว้างขวาง บุคคลใดยอมรับค่านิยมใดเป็นของตน ค่านิยมนั้นก็จะเป็นเป้าหมายในชีวิตของบุคคลนั้น
จริยธรรม ( Moral )
ดวงเดือน พันธุมนาวิน ได้กล่าวถึง จริยธรรมว่า เป็นระบบการทำความดี ละเว้นความชั่ว ระบบดังกล่าว หมายรวมถึงสาเหตุของการกระทำหรือไม่กระทำนั้น ตลอดจนกระบวนการเกิดและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเหล่านี้ด้วย
พุทธทาส อินทปัญโญ ได้อธิบายความหมายของจริยธรรมว่า คำว่า moral ที่เราถือกันว่าได้แก่ ศีลธรรมนี้ เพ่งเล็งไปในทางการปฏิบัติมากกว่าหลักวิชาการ ส่วนคำว่า ethics นั้น เพ่งเล็งไปในทางหลักวิชามากกว่าที่จะเป็นตัวการปฏิบัติ ส่วนคำว่า moral นั้นหมายถึง ระเบียบปฏิบัติโดยตรง ในภาษาไทยตรงกับคำว่า ศีลธรรม ตามที่บัญญัติความหมายให้รัดกุมก็ได้แก่ระเบียบปฏิบัติ, ซึ่งปฏิบัติเพื่อให้เกิดความผาสุกและสงบสุข เนื่องด้วยสังคมเป็นส่วนใหญ่ แม้บุคคลจะเป็นผู้รับผลอันนั้น แต่ผลอันนั้นเพ่งเล็งถึงสังคมส่วนใหญ่ จะได้รับรวมกัน เป็นหน่วยใหญ่
โคลเบิร์ก กล่าวสรุปว่า จริยธรรมเป็นลักษณะของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี เป็นกฎเกณฑ์และมาตรฐานของความประพฤติปฏิบัติในสังคม อันเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทำนั้นผิดหรือถูกโดยสังคมเป็นผู้ตัดสิน
โฮแกน กล่าวว่า จริยธรรมเป็นระบบของกฎเกณฑ์ที่อยู่ภายนอกของบุคคลสร้างขึ้นเพื่อชี้แนะพฤติกรรมสังคมหรือพฤติกรรมระหว่างบุคคล
คุณธรรม (Morality)
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) “คุณธรรม” เป็นคุณภาพของจิตใจ กล่าวคือคุณสมบัติที่เสริมสร้างจิตใจให้ดีงาม ให้เป็นจิตใจที่สูงประณีต และประเสริฐ
พจนานุกรมราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2546 “คุณธรรม”
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณแบละจริยธรรมมีอะไรบ้าง
ตอบ จริยธรรมและค่านิยมร่วมกันวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะใช้คำพ้องความหมายต่างกัน แต่ใน ทางกลับกันจริยธรรมนั้นเป็นชุดของกฎที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มหรือวัฒนธรรม ค่านิยม หมายถึงความเชื่อที่บุคคลมีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน
จริยธรรมและค่านิยมมีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของชีวิตเมื่อเราต้องเลือกระหว่างสองสิ่งโดยที่จริยธรรมจะกำหนดสิ่งที่ถูกต้องค่าจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่สำคัญ
ในโลกแห่งการแข่งขันที่ดุเดือดองค์กรธุรกิจทุกแห่งต่างก็ทำงานบนหลักการและความเชื่อที่แน่นอน มีการดำเนินการด้านจริยธรรมในองค์กรเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นลูกค้าซัพพลายเออร์พนักงานสังคมและรัฐบาล อ่านบทความต่อไปนี้เพื่อทราบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
คำจำกัดความของจริยธรรม
โดยคำว่า 'จริยธรรม' เราหมายถึงสาขาปรัชญาคุณธรรม - ความรู้สึกของความถูกต้องหรือผิดของการกระทำแรงจูงใจและผลของการกระทำเหล่านี้ กล่าวโดยย่อก็คือวินัยที่ระบุความดีหรือความชั่วเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ทางศีลธรรมหรือไม่ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม เป็นมาตรฐานที่ดีที่บุคคลควรทำเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ความเป็นธรรมผลประโยชน์ต่อสังคมและอื่น ๆ มาตรฐานดังกล่าวมีข้อผูกมัดที่สมเหตุสมผลในการหยุดอาชญากรรมเช่นการขโมยการข่มขืนการข่มขืนการฆาตกรรมการฉ้อโกงและอื่น ๆ
คำจำกัดความของค่านิยม
ค่านิยมหมายถึงความเชื่อหรือหลักการที่สำคัญและยืนยงซึ่งแต่ละคนตัดสินในชีวิต มันเป็นศูนย์กลางของชีวิตของเราซึ่งทำหน้าที่เป็นมาตรฐานของพฤติกรรม พวกเขาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานะทางอารมณ์ของจิตใจของบุคคล พวกเขาสามารถเป็นค่าส่วนบุคคลค่าวัฒนธรรมหรือค่านิยมขององค์กร
ค่านิยมเป็นพลังที่ทำให้บุคคลประพฤติตนในลักษณะเฉพาะ มันกำหนดลำดับความสำคัญของเราในชีวิตคือสิ่งที่เราพิจารณาในสถานที่แรก มันเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังตัวเลือกที่เราทำ มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับเรา ดังนั้นหากเราซื่อตรงต่อค่านิยมของเราและตัดสินใจเลือกตามความเหมาะสมวิธีที่เราดำเนินชีวิตเพื่อแสดงค่านิยมหลักของเรา นอกจากนี้หากคุณเข้าใจคุณค่าของบุคคลคุณสามารถระบุสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจริยธรรมและคุณค่าได้อธิบายไว้ในจุดด้านล่าง
1.จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
2.จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
3.ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
4.จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
5.ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
6.จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านชีววิทยาศาสตร์ (bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่งสิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น “เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม และกฎหมาย จึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม (ethical-legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโชยน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่าหลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชม คำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้อง “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of low)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอย่ในใจซึ่งได้ปรากฎออกมาเป็นความปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยหลักจริยธรรมของสังคมมนุษย์
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรมมีการกล่าวถึงด้านล่าง
1.กฎหมายถูกกำหนดให้เป็นระบบกฎเกณฑ์ที่ควบคุมทั้งสังคมและการกระทำของสมาชิกแต่ละคน จริยธรรมหมายถึงศาสตร์แห่งการประพฤติปฏิบัติตามมาตรฐานของมนุษย์
2.กฎหมายประกอบด้วยชุดของกฎและข้อบังคับในขณะที่จริยธรรมประกอบด้วยแนวทางและหลักการที่แจ้งให้ผู้คนทราบเกี่ยวกับวิธีการใช้ชีวิตหรือวิธีการปฏิบัติตนในสถานการณ์เฉพาะ
3.กฎหมายถูกสร้างขึ้นโดยรัฐบาลซึ่งอาจเป็นในระดับท้องถิ่นภูมิภาคระดับประเทศหรือระหว่างประเทศ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมถูกควบคุมโดยบรรทัดฐานของบุคคลกฎหมายหรือวิชาชีพเช่นจรรยาบรรณในการทำงานจริยธรรมสิ่งแวดล้อมและอื่น ๆ
4.มีการแสดงออกในรัฐธรรมนูญในรูปแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษร ตรงข้ามกับจริยธรรมไม่สามารถพบได้ในรูปแบบการเขียน
5.การฝ่าฝืนกฎหมายอาจส่งผลให้มีการลงโทษหรือลงโทษหรือทั้งสองอย่างที่ไม่ได้อยู่ในการละเมิดจริยธรรม
6.วัตถุประสงค์ของกฎหมายคือการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศและคุ้มครองประชาชนทุกคน แตกต่างจากจริยธรรมที่เป็นจรรยาบรรณที่ช่วยให้บุคคลตัดสินใจว่าอะไรถูกหรือผิดและวิธีการปฏิบัติ
7.กฎหมายสร้างความผูกพันทางกฎหมาย แต่จริยธรรมไม่มีผลผูกพันกับประชาชน
คำนิยาม
กฎหมายคือชุดของกฎและข้อบังคับที่สร้างและบังคับใช้โดยหน่วยงานปกครองของสังคม / ประเทศด้วยความตั้งใจในการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมเป็นหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลหรือการดำเนินกิจกรรม ดังนั้นนี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
วัตถุประสงค์
วัตถุประสงค์ของกฎหมายคือการสร้างสังคมที่เป็นระเบียบไร้ความชั่วและความอยุติธรรม วัตถุประสงค์ของจริยธรรมก็เหมือนกันกับกฎหมาย เพื่อสร้างคนที่ถูกต้องทางศีลธรรมในสังคมเพื่อที่จะยกระดับจิตวิญญาณและมาตรฐานการครองชีพโดยรวมของมนุษยชาติ
การลงโทษ
ยิ่งไปกว่านั้นการลงโทษเป็นความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรม การลงโทษเป็นองค์ประกอบหลักในกฎหมาย มันมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเป็นระเบียบและความยุติธรรมให้กับทุกคนในขณะที่การลงโทษที่ผิดและเน้นที่ถูกต้อง จริยธรรมไม่จำเป็นต้องมีการลงโทษเนื่องจากเป็นความเชื่อและหลักการทางศาสนาและสังคม อย่างไรก็ตามผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจรรยาบรรณที่ยอมรับอาจถูกพิจารณาว่าผิดศีลธรรมหรือไม่ดีต่อผู้อื่นในสังคมเช่นกัน
ข้อสรุป. กฎหมายและจริยธรรมแตกต่างกันในลักษณะที่สิ่งที่บุคคลต้องทำและสิ่งที่บุคคลควรทำ อดีตเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในขณะที่คนหลังเป็นความประพฤติของมนุษย์ในอุดมคติซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นด้วย แม้ว่าทั้งกฎหมายและจรรยาบรรณจะทำในแนวเดียวกันเพื่อไม่ให้ขัดแย้งกัน ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันขณะที่พวกเขาให้วิธีการกระทำในลักษณะเฉพาะ ทุกคนเท่าเทียมกันในสายตาของกฎหมายและจริยธรรมนั่นคือไม่มีใครเหนือกว่าหรือด้อยกว่า นอกจากนี้สองคนนี้อนุญาตให้คนคิดอย่างอิสระและเลือก กฎหมายและจริยธรรมเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับคุณภาพชีวิตในชุมชน ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกฎหมายและจริยธรรมคือเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจริยธรรมทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคมได้ในขณะที่คนอื่นจะถูกลงโทษเพราะไม่ปฏิบัติตามกฎ ดังนั้นจริยธรรมจึงเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมายในประเทศ
1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม
คุณธรรมและจริยธรรม
ตอบ คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีและความถูกต้องซึ่งบุคคลควรยึดมั่นไว้เป็นหลักการในการปฏิบัติตนจนเป็นนิสัยความประพฤติดีงาม เพื่อประโยชน์แก่ตนและสังคม ซึ่งมีพื้นฐานมาจากหลักศีลธรรมทางศาสนา ค่านิยมทางวัฒนธรรม ประเพณี หลักกฎหมาย จรรยาบรรณวิชาชีพ การรู้จักไตร่ตรองว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ และอาจกล่าวได้ว่าคุณธรรม คือ จริยธรรมที่นำมาปฏิบัติจนเป็นนิสัย เช่น การเป็นคนซื่อสัตย์ เสียสละ และ มีความรับผิดชอบ
ค่านิยม”(Values)หมายถึง สิ่งที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในชีวิตของมนุษย์ สิ่งที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรม ในการแสดงออกของมนุษย์ในสังคม แต่ละบุคคลจะมีการพิจารณาไตร่ตรองแล้วว่าดีและยอมรับที่ จะประพฤติปฏิบัติตามในทิศทางเดียวกันในสังคมนั้น ๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลง ได้ตามกาลเวลาและความคิดเห็นของบุคคลในสังคมนั้นๆ
เป็นความคิด พฤติกรรมและสิ่งอื่นใดที่คนในสังคมหนึ่งมองว่ามีคุณค่า จึงยอมรับมาปฏิบัติตามและหวงแหนไว้ในระยะเวลาหนึ่ง ค่านิยมสามารถเปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลาและความคิดเห็นของคนในสังคมนั้น ค่านิยมเป็นสิ่งที่บุคคลพอใจหรือเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แล้วยอมรับไว้เป็นความเชื่อหรือความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
ค่านิยมจึงเป็นเสมือนพื้นฐานแห่งการประพฤติ ปฏิบัติของบุคคลโดยตรง
จริยธรรม (Morality) เป็นระบบของการทำความดีละเว้นความชั่ว มีทั้งปัจจัยนำเข้า(Input) เป็นปัจจัยเชิงเหตุทั้งด้านจิตใจและสถานการณ์ของจริยธรรมและพฤติกรรมจริยธรรม รวมทั้งมีปัจจัยส่งออก(Output) จริยธรรมจะเกิดขึ้นเมื่อค่านิยมหรือคุณธรรม ตั้งแต่ 2 ตัวขัดแย้งกัน ทำให้บุคคลต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการเลือกที่จะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง บุคคลที่ตัดสินใจเลือกคุณธรรมหรือค่านิยมตัวที่มีประโยชน์แก่ส่วนรวมมากกว่าที่เป็นประโยชน์แก่เฉพาะตนหรือกลุ่มพวกพ้องในกลุ่มเล็กๆจึงมักเป็นบุคคลที่มีจริยธรรมสูง
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
-จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิด
ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
-ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามกฎหมาย นอกจากนี้จริยธรรมยังเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมาย ความแตกต่างหลัก ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตาม
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
ตอบ ค่านิยม หมายถึง ความคิดหรือสิ่งที่ยอมรับว่าดีมีคุณค่าหรือ เป็นการยอมรับนับถือและพร้อมที่จะปฏิบัติตามคุณค่าที่คนหรือกลุ่มคนในสังคม เป็นสิ่งกำหนดคุณค่าการกระทำของมนุษย์
คุณธรรม หมายถึง คุณงามความดีที่สั่งสมในจิตใจมนุษย์โดยผ่านการเรียนรู้หรือประสบการณ์ต่าง ๆ หรือ ความดีงามที่อยู่ในจิตใจ หรือจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล หรือหลักธรรมที่รู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีซึ่งฝังรากอยู่ในจิตใจ
จริยธรรม หมายถึง คุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวัง เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของสังคม หรือประพฤติตามค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยเน้นที่การประพฤติชอบ ถ้านิยามสั้นๆ คือ "หลักของการประพฤติ" หรือ "แนวทางของการประพฤติ" (ดวงเด่น นุเรนรัมย์) ซึ่งต่างจากศีลธรรมตรงที่ ศีลธรรม คือ สิ่งที่กำลังประพฤติอยู่ หรือประพฤติแล้ว โดย จริยธรรม หรือ Ethics จะอยู่ในรูปของปรัชญาเป็นความหมายที่กว้างกว่าศีลธรรม
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
ตอบ ความต่างระหว่าง คุณธรรม กับ จริยธรรม คือคุณธรรม เป็นคุณสมบัติภายในใจใดๆ ส่วนจริยธรรม เป็น ส่ิงที่ควรประพฤติ
สรุปได้ว่า คุณธรรม และจริยธรรม หมายถึง คุณงามความดีของบุคคลที่กระทำด้วยความสำนึกดีในจิตใจ โดยยึดถือจนเป็นความเคยชิน
บางครั้งคำสองคำนี้ มักถูกใช้ควบคู่กัน "คุณธรรมจริยธรรม"
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
ตอบ 1.หลักการพื้นฐาน
จริยธรรม : ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
2.ผู้ตัดสินความผิด
จริยธรรม: บุคคลผู้กระทำ
กฎหมาย: การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3.บทลงโทษ
จริยธรรม: การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม
กฎหมาย: ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
4.การบังคับใช้
จริยธรรม: ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
กฎหมาย: ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
รหัส 62423671132
1.อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
คำตอบ ค่านิยม เป็นสิ่งกำหนดคุณค่าการกระทำของมนุยษ์ เช่น ค่านิยมการแต่งตัวของคนอีสาน ค่านิยมการไว้ทรงผมของเด็กวัยรุ่น เป็นต้น ซึ่งอาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้คุณธรรม หมายถึง คุณงามความดีที่สั่งสมในจิตใจมนุษย์โดยผ่านการเรียนรู้หรือประสบการณ์ต่างๆ หรือ ความดีงามที่อยู่ในจิตใจ หรือจิตวิญญาณของปัจเจกบุคคล หรือหลักธรรมที่รู้สึกถึงความผิดชอบชั่วดีซึ่งฝังรากอยู่ในจิตใจ
จริยธรรม หมายถึง คุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวัง เป็นสิ่งที่พึงประสงค์ของสังคม หรือประพฤติตามค่านิยมที่พึงประสงค์ โดยเน้นที่การประพฤติชอบ ถ้านิยามสั้นๆ คือ "หลักของการประพฤติ" หรือ "แนวทางของการประพฤติ" (ดวงเด่น นุเรนรัมย์) ซึ่งต่างจากศีลธรรมตรงที่ ศีลธรรม คือ สิ่งที่กำลังประพฤติอยู่ หรือประพฤติแล้ว โดย จริยธรรม หรือ Ethics จะอยู่ในรูปของปรัชญาเป็นความหมายที่กว้างกว่าศีลธรรม
2.ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณแบละจริยธรรมมีอะไรบ้าง
คำตอบ จริยธรรมและค่านิยมร่วมกันวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะใช้คำพ้องความหมายต่างกัน แต่ใน ทางกลับกันจริยธรรมนั้นเป็นชุดของกฎที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มหรือวัฒนธรรม ค่านิยม หมายถึงความเชื่อที่บุคคลมีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน
จริยธรรมและค่านิยมมีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของชีวิตเมื่อเราต้องเลือกระหว่างสองสิ่งโดยที่จริยธรรมจะกำหนดสิ่งที่ถูกต้องค่าจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่สำคัญ
ในโลกแห่งการแข่งขันที่ดุเดือดองค์กรธุรกิจทุกแห่งต่างก็ทำงานบนหลักการและความเชื่อที่แน่นอน มีการดำเนินการด้านจริยธรรมในองค์กรเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นลูกค้าซัพพลายเออร์พนักงานสังคมและรัฐบาล อ่านบทความต่อไปนี้เพื่อทราบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
คำจำกัดความของจริยธรรม
โดยคำว่า 'จริยธรรม' เราหมายถึงสาขาปรัชญาคุณธรรม - ความรู้สึกของความถูกต้องหรือผิดของการกระทำแรงจูงใจและผลของการกระทำเหล่านี้ กล่าวโดยย่อก็คือวินัยที่ระบุความดีหรือความชั่วเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ทางศีลธรรมหรือไม่ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม เป็นมาตรฐานที่ดีที่บุคคลควรทำเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ความเป็นธรรมผลประโยชน์ต่อสังคมและอื่น ๆ มาตรฐานดังกล่าวมีข้อผูกมัดที่สมเหตุสมผลในการหยุดอาชญากรรมเช่นการขโมยการข่มขืนการข่มขืนการฆาตกรรมการฉ้อโกงและอื่น ๆ
คำจำกัดความของค่านิยม
ค่านิยมหมายถึงความเชื่อหรือหลักการที่สำคัญและยืนยงซึ่งแต่ละคนตัดสินในชีวิต มันเป็นศูนย์กลางของชีวิตของเราซึ่งทำหน้าที่เป็นมาตรฐานของพฤติกรรม พวกเขาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานะทางอารมณ์ของจิตใจของบุคคล พวกเขาสามารถเป็นค่าส่วนบุคคลค่าวัฒนธรรมหรือค่านิยมขององค์กร
ค่านิยมเป็นพลังที่ทำให้บุคคลประพฤติตนในลักษณะเฉพาะ มันกำหนดลำดับความสำคัญของเราในชีวิตคือสิ่งที่เราพิจารณาในสถานที่แรก มันเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังตัวเลือกที่เราทำ มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับเรา ดังนั้นหากเราซื่อตรงต่อค่านิยมของเราและตัดสินใจเลือกตามความเหมาะสมวิธีที่เราดำเนินชีวิตเพื่อแสดงค่านิยมหลักของเรา นอกจากนี้หากคุณเข้าใจคุณค่าของบุคคลคุณสามารถระบุสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาได้อย่างง่ายดาย
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจริยธรรมและคุณค่าได้อธิบายไว้ในจุดด้านล่าง
1.จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
2.จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
3.ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
4.จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
5.ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
6.จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
รหัส 62423671132
3.หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
คำตอบ ความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงของงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านชีววิทยาศาสตร์ (bioscience) ทำให้บรรดานักวิจัยต้องถูกบีบบังคับให้ยืนอยู่ในความมืดมนและความไม่แน่นอนระหว่างกฎหมาย และจริยธรรม ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องหันกลับมาหากฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม และต้องบากบั่นหาความชัดเจนและวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่งสิ่งที่จะแยกได้ว่าสิ่งใดคือความถูกความผิด ตลอดจนสิ่งใดคือความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถูกจริยธรรม หรือไม่ต้องด้วยจริยธรรม ในงานวิจัยชีววิทยาศาสตร์และกิจกรรมที่เกี่ยวข้องนับว่าเป็นงานยากยิ่งในการวางหลักที่เกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์ (bioethical matters) มีคำถามที่ยากจะตอบ เช่น “เหตุใดจึงไม่สามารถโคลน (clone) มนุษย์ได้” ซึ่งล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม และกฎหมาย จึงตกอยู่ในความยุ่งยากของประเด็นทางกฎหมายที่เกี่ยวกับจริยธรรม (ethical-legal issues) ที่ยังไม่ชัดเจนเพียงพอสำหรับงานวิจัย โดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์
ในทฤษฎีกฎหมายบ้านเมือง (legal positivism) ได้สร้างหลักซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่กำเนิดจากลัทธิประโยชน์สุขนิยม (utilitarianism) ในนามของหลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม (the separation of law and morals) และความสำคัญของการวิเคราะห์แนวความคิดอันเป็นที่ยอมรับในทางกฎหมาย ทฤษฎีกฎหมายบ้านเมืองและลัทธิประโชยน์สุขนิยม ดูเหมือนจะถูกเข้าใจผิด หากว่าหลักแต่ละหลักที่ยืนโดดเดี่ยวนั้นไม่ได้รับความชื่นชม คำถามที่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายในมาตรฐานขั้นต่ำของคุณธรรมอาจทำให้เกิดความสับสน หากมีประเด็นคำถามที่เกี่ยวข้อง “การแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและคุณธรรม : ซึ่งอยู่ในบริบทของการก่อเกิดอำนาจสูงสุดของกฎหมาย (the sovereign birth of low)
ความก้าวหน้าในการค้นพบทางชีววิทยาศาสตร์ได้สร้างสรรค์งานอันลึกล้ำระหว่างความโน้มเอียงในทางธรรมชาติของมนุษย์สองประการ ประการแรกคือความชื่นชมยินดีที่เราได้ค้นพบสิ่งซึ่งทำให้ชีวิตเราดีขึ้นอีก ประการหนึ่งคือ ความกลัวที่ซ่อนเร้นอย่ในใจซึ่งได้ปรากฎออกมาเป็นวามปรองดองทางศีลธรรมซึ่งเราต้องการกำหนดให้รองรับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ปัญหานี้มิใช่ของใหม่ เพียงแต่ความยุ่งยากได้เพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน ความกลัวได้เกิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่าสังคมจะยืนยงอยู่ได้ ไม่เพียงแต่มีกฎหมายเท่านั้น แต่ต้องอาศัยหลักการทางศีลธรรมที่ควบคุมความประพฤติของมนุษย์ด้วย ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายไม่อาจที่จะใช้ในการควบคุมกลไกและชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มีข้อจำกัดในความมั่นคงทางศีลธรรม นั่นคือความชอบด้วยกฎหมาย และความห่วงใยหลักจริยธรรมของสังคมมนุษย์
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
คำตอบ ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
1. หลักการพื้นฐาน
จริยธรรม : ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
2. ผู้ตัดสินความผิด
จริยธรรม : บุคคลผู้กระทำ
กฎหมาย : การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3. บทลงโทษ
จริยธรรม : การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม
กฎหมาย : ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. การบังคับใช้
จริยธรรม : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
กฎหมาย : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
1. ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม มีลักษณะที่มีส่วนคล้ายคลึงกัน ค่านิยมเป็นหลักการ แนวคิด หรือความเชื่อที่บุคคลยึดถือเป็นคุณค่า หรือแนวทางในการตัดสินใจ และในการดำรงชีวิตหากค่านิยมที่แต่ละบุคคลยึดถือเป็นแนวทางในการดำรงชีวิตตรงกันเป็นจำนวนมาก สิ่งนั้นก็กลายเป็นค่านิยมไป คุณธรรมเป็นคุณลักษณะหรือสภาวะภายในจิตใจของมนุษย์ที่เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ดีงามซึ่งเป็นภาวะนามธรรมอยู่ในจิตใจ ส่วนจริยธรรมเป็นการแสดงออกทางการปฏิบัติ ซึ่งสะท้อนคุณธรรมภายในให้เห็นเป็นรูปธรรม
2. จริยธรรม คือคุณสมบัติทางความประพฤติที่สังคมมุ่งหวังใหค้นในสังคมน้้นประพฤติ มีความถูกต้องในความประพฤติ มีเสรีภาพภายในขอบเขต
คุณธรรม คือ พฤติกรรมที่แสดงถึงมาตรฐานทางศีลธรรมและเป็นรูปแบบของความคิดและการกระทำบนพื้นฐานของมาตรฐานทางศีลธรรม
จรรยาบรรณ คือ จริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพที่องค์กรวิชาชีพกำหนดขึ้นให้คนในองค์กรของตนประพฤติปฏิบัติ
ดังน้้นจึงสรุปได้ว่า
จริยธรรม คุณธรรม จรรยาบรรณ และจริยศาสตร์มีท้้งความเหมือนและความแตกต่างกันในหลายๆด้านจริยธรรม และจริยศาสตร์มีความหมายที่แตกต่างกัน แต่มีส่วนที่เกื้อกูลกันคือเราอาจปฏิบัติตามหลักจริยธรรมเพราะ ไดร้บคำสั่งสอนมาว่าเป็นสิ่งที่ดีโดยตนไม่รู้เหตุผลหรือรู้เหตุเพียงเล็กน้อยแต่หากมีการศึกษาจริยศาสตร์จะช่วยใหเ้ข้าใจเหตุผลของหลักคำ สอนทางจริยธรรมละเอียดถี่ถ้วนและหลายแง่มุมขึ้นทำใหเ้ราเข้าใจหลักคำสอนดีขึ้น
3. หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
(1) หลักการพื้นฐาน จริยธรรม : ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม / กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
(2) ผู้ตัดสินความผิด จริยธรรม : บุคคลผู้กระทำ / กฎหมาย : การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
(3) บทลงโทษ จริยธรรม : การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม / กฎหมาย : ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
(4) การบังคับใช้ จริยธรรม : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น / กฎหมาย : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
4. ความแตกต่างหลัก ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามกฎหมาย นอกจากนี้จริยธรรมยังเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมายความแตกต่างหลัก ระหว่างกฎหมายและจริยธรรมก็คือ คนเราจะไม่ถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามจรรยาบรรณทางสังคม แต่จะแยกตัวออกจากสังคม แต่จะถูกลงโทษเพราะไม่ทำตามกฎหมาย นอกจากนี้จริยธรรมยังเป็นหลักการพื้นฐานสำหรับกฎหมายในประเทศกฎหมายและจริยธรรมเสริมสร้างมารยาททางสังคมและมาตรฐานในสังคม ดังนั้นผู้คนสามารถนำคุณภาพชีวิตด้วยความสงบและความสามัคคี ในทางใดทางหนึ่งจริยธรรมและกฎหมายมีความสัมพันธ์กันตั้งแต่จริยธรรมมาก่อนในสังคมซึ่งมีอิทธิพลต่อการกำหนดกฎหมาย
รหัสนักศึกษา 62423471131 รุ่น 44
1. อธิบายความหมายของคำว่า ค่านิยม คุณธรรมและจริยธรรม
= ค่านิยมหมายถึงความเชื่อหรือหลักการที่สำคัญและยืนยงซึ่งแต่ละคนตัดสินในชีวิต มันเป็นศูนย์กลางของชีวิตของเราซึ่งทำหน้าที่เป็นมาตรฐานของพฤติกรรม พวกเขาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสถานะทางอารมณ์ของจิตใจของบุคคล พวกเขาสามารถเป็นค่าส่วนบุคคลค่าวัฒนธรรมหรือค่านิยมขององค์กร
ค่านิยมเป็นพลังที่ทำให้บุคคลประพฤติตนในลักษณะเฉพาะ มันกำหนดลำดับความสำคัญของเราในชีวิตคือสิ่งที่เราพิจารณาในสถานที่แรก มันเป็นเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังตัวเลือกที่เราทำ มันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่สำคัญกว่าสำหรับเรา ดังนั้นหากเราซื่อตรงต่อค่านิยมของเราและตัดสินใจเลือกตามความเหมาะสมวิธีที่เราดำเนินชีวิตเพื่อแสดงค่านิยมหลักของเรา นอกจากนี้หากคุณเข้าใจคุณค่าของบุคคลคุณสามารถระบุสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาได้อย่างง่าย
'จริยธรรม' เราหมายถึงสาขาปรัชญาคุณธรรม - ความรู้สึกของความถูกต้องหรือผิดของการกระทำแรงจูงใจและผลของการกระทำเหล่านี้ กล่าวโดยย่อก็คือวินัยที่ระบุความดีหรือความชั่วเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ทางศีลธรรมหรือไม่ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม เป็นมาตรฐานที่ดีที่บุคคลควรทำเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ความเป็นธรรมผลประโยชน์ต่อสังคมและอื่นๆ มาตรฐานดังกล่าวมีข้อผูกมัดที่สมเหตุสมผลในการหยุดอาชญากรรมเช่นการขโมยการข่มขืนการข่มขืนการฆาตกรรมการฉ้อโกงและอื่นๆ
ในขณะที่จริยธรรมถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงเวลาและยังคงเหมือนเดิมสำหรับมนุษย์ทุกคน ค่านิยมมีวิธีการแบบปัจเจกนิยมนั่นคือมันแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล แต่ยังคงมีความเสถียรไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาเนื่องจากเหตุการณ์ทางอารมณ์ที่สำคัญ
รหัสนักศึกษา 62423471131 รุ่น 44
2. ข้อแตกต่างระหว่าง ค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณและจริยธรรม มีอะไรบ้าง
= จริยธรรมและค่านิยมร่วมกันวางรากฐานสำหรับการพัฒนาอย่างยั่งยืน แม้ว่าบางครั้งพวกเขาจะใช้คำพ้องความหมายต่างกัน แต่ใน ทางกลับกันจริยธรรม นั้นเป็นชุดของกฎที่ควบคุมพฤติกรรมของบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกลุ่มหรือวัฒนธรรม ค่านิยม หมายถึงความเชื่อที่บุคคลมีความพึงพอใจอย่างยั่งยืน
จริยธรรมและค่านิยมมีความสำคัญในทุก ๆ ด้านของชีวิตเมื่อเราต้องเลือกระหว่างสองสิ่งโดยที่จริยธรรมจะกำหนดสิ่งที่ถูกต้องค่าจะเป็นตัวกำหนดสิ่งที่สำคัญ
ในโลกแห่งการแข่งขันที่ดุเดือดองค์กรธุรกิจทุกแห่งต่างก็ทำงานบนหลักการและความเชื่อที่แน่นอน มีการดำเนินการด้านจริยธรรมในองค์กรเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับการคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเช่นลูกค้าซัพพลายเออร์พนักงานสังคมและรัฐบาล อ่านบทความต่อไปนี้เพื่อทราบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างจริยธรรมและค่านิยม
ความแตกต่างพื้นฐานระหว่างจริยธรรมและคุณค่าได้อธิบายไว้ในจุดด้านล่าง:
1. จรรยาบรรณหมายถึงแนวทางปฏิบัติที่อยู่คำถามที่เกี่ยวกับคุณธรรม คุณค่าหมายถึงหลักการและอุดมคติซึ่งช่วยให้พวกเขาในการตัดสินว่าอะไรสำคัญกว่า
2. จริยธรรมเป็นระบบของหลักการทางศีลธรรม ตรงกันข้ามกับค่านิยมซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นความคิดของเรา
3. ค่านิยมมีอิทธิพลอย่างมากต่อสภาวะทางอารมณ์ของจิตใจ ดังนั้นจึงทำหน้าที่เป็นแรงจูงใจ ในทางตรงกันข้ามจริยธรรมบังคับให้ทำตามแนวทางปฏิบัติเฉพาะ
4. จริยธรรมมีความสอดคล้องกันในขณะที่ค่านิยมแตกต่างกันไปสำหรับคนที่แตกต่างกันเช่นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนคนหนึ่งอาจไม่สำคัญสำหรับคนอื่น
5. ค่าบอกเราว่าเราต้องการทำอะไรหรือทำอะไรให้สำเร็จในชีวิตของเราในขณะที่จริยธรรมช่วยให้เราตัดสินใจได้ว่าอะไรถูกต้องตามหลักจริยธรรมหรือไม่ถูกต้องในสถานการณ์ที่กำหนด
6. จริยธรรมกำหนดว่าทางเลือกของเรานั้นถูกหรือผิด ตรงข้ามกับค่านิยมซึ่งกำหนดลำดับความสำคัญต่อชีวิตของเรา
รหัสนักศึกษา 62423471131 รุ่น 44
3. หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้าง จงอธิบาย
= จริยธรรมอ้างสิทธิในการวิจารณ์การจัดการทางกฎหมายและแนะนำการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การโต้เถียงในประเด็นกฎหมาย บ่อยครั้งทีโต้เถียงในประเด็นทางศีลธรรมด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างศีลธรรมกีบกฎหมายสรุปได้ดังนี้
(1) การมีอยู่ของกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม เช่น กฎหมายทาส เป็นข้อพิสูจน์ว่ากฎหมายกับศีลธรรมไม่ใช่สิ่งเดียวกันและไม่ได้เกิดจากสิ่งเดียวกัน
(2) การมีอยู่ของกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันคุณค่าพื้นฐาน เช่น กฎหมายอาญาที่ลงโทษการฆาตกรรม การขโมย ข่มชืนหรือทำร้ายร่างกาย เป็นต้น เป้นสิ่งพิสูจน์ว่าทั้งกฎหมายและศีลธรรมสามารถทำงานร่วมกันได้
(3) กฎหมายสามารถกำหนดอะไรคือการกระทำผิดที่ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดและควรถูกลงโทษ แม้ว่ากฎหมายจะละเลยเจตนาของบุคคลหรือความคิดของบุคคลก็ตาม เพราะกฎหมายไม่สามารถจัดการได้ ในขณะที่ศีลธรรมจะตัดสินบุคคลบนเจตนาและคุรลักษณะซึ่งแตกต่างจากกฎหมาย
(4) กฎหมายควบคุมพฤติกรรมอย่างน้อยบางส่วนจากความกลัวถูกลงโทษ ศีลธรรมจะกลายเป็นนิสัยหรือลักษณะที่ควบคุมพฤติกรรมโดยไม่ต้องมีการใช้กำลัง เพราะบุคคลต้องควบคุมตนเอง บุคคลที่มีศีลธรรมกระทำในสิ่งที่เหมาะสมเพราะเป็นสิ่งที่ดีที่ควรจะกระทำ
(5) ศีลธรรมสามารถมีอิทธิพลต่อกฎหมายในแง่ที่ว่าสามารถให้เหตุผลว่าทำไม่การกระทำดังกล่าวผิดกฎหมาย
(6) กฎหมายสามารถแสดงออกทางศีลธรรมต่อสาธารณะได้โดยการทำให้เป็นลายลักษณ์อักษร เป็นหลักากรพื้นฐานของพฤติกรรมที่คนในสังคมทั่วไปให้การยอมรับ พร้อมทั้งเป้นแนวทางในการให้การศึกษาแก่คนรุ่นต่อไปให้ทราบคุณค่าทางสังคมที่ต้องการปลูกฝัง
รหัสนักศึกษา 62423471131 รุ่น 44
4. ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรมมีอะไรบ้างจงอธิบาย
= จริยธรรมและกฎหมาย (Ethics and Law)
ข้อกำหนดในการใช้คอมพิวเตอร์นั้นถูกกำหนดกฎเกณฑ์และสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลไว้ด้วย 2 วิธี คือ กำหนดด้วยจริยธรรมและกำหนดด้วยกฎหมาย ซึ่งทั้ง 2 วิธีการนี้มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ การสร้างความเป็นระเบียบและความเรียบร้อย รวมทั้งคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลในระบบสารสนเทศ แต่ทั้งจริยธรรมและกฎหมายนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากในหลายประเด็นซึ่งเกิดเป็นปัญหาขึ้น จริยธรรมอาจจะครอบคลุม หรือไม่ครอบคลุมโดยกฎหมายก็ได้ ดังรายละเอียดต่อไปนี้
ความแตกต่างระหว่างกฎหมายและจริยธรรม
1. หลักการพื้นฐาน
จริยธรรม : ไม่มีหลักการตายตัว และขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของบุคคลในสังคม
กฎหมาย : เป็นหลักและกฎเกณฑ์ตายตัว เปลี่ยนแปลงได้ยาก มีความซับซ้อน
2. ผู้ตัดสินความผิด
จริยธรรม : บุคคลผู้กระทำ
กฎหมาย : การตัดสินเป็นไปตามกระบวนการที่รัฐบาลกำหนดขึ้น
3. บทลงโทษ
จริยธรรม : การวิพากษ์วิจารณ์ หรือถูกรังเกียจจากผู้คนในสังคม
กฎหมาย : ปรับ หรือจำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ
4. การบังคับใช้
จริยธรรม : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
กฎหมาย : ขึ้นอยู่กับสังคมนั้น
1.ค่านิยม (VALUE) คือ ตัวชี้วัดในหลายรูปแบบ ในการเรื่องลำดับความสำคัญ โดยการเปรียบเทียบเป็นคู่ ๆ. (เปรมสุรีย์ เชื่อมทศ,2536) การวัดโดยมาตรประเมินผลรวม (อุบล เลี้ยววาริณ,2534) ค่านิยม คือ การรวมกลุ่มความเชื่อ ความคิด ความรู้สึก ที่มีอิทธิพลต่อบุคคลในการเลือก การประเมินบุคคล, ค่านิยม คือ สิ่งปรารถนาของบุคคลในด้านต่าง ๆ เช่น การเมือง สังคม เศรษฐกิจ ค่านิยม จึงเป็นสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง ใกล้เคียงกับคุณธรรม และจริยธรรม คุณธรรม คือ สิ่งที่บุคคลเห็นว่าดีงาม มีประโยชน์มาก มีประโยชน์น้อย เช่น การมีระเบียบวินัย อดทน ขยัน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ
คุณธรรม (VIRTAE) คือ สิ่งที่ดีงาม ที่มีลักษณะเฉพาะ เป็นสิ่งที่มีความแตกต่างกัน ในการที่บุคคลในสังคมจะเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ดังนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ศาสนา การศึกษาของสังคม
จริยธรรม (MORALITY) (PIAGET,1932:KOHLBERG,1976) เป็นระบบของการทำดีละเว้นความชั่ว มีปัจจัยนำเข้า เป็นปัจจัยเชิงเหตุทั้งทางด้านจิตใจและสถานการณ์ของจริยธรรม และพฤติกรรมจริยธรรม รวมทั้งปัจจัยนำออก ซึ่งเป็นผลของจริยธรรมหรือพฤติกรรมอยู่ในรูปของจิตลักษณะและพฤติกรรมบุคคลของผู้กระทำ โดยจริยธรรมเกิดจากค่านิยมหรือคุณธรรมตั้งแต่ 2 ตัวขัดแย้งกัน ทำให้บุคคลต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องตัดสินใจหรือแก้ปัญหาในการเลือกที่จะปฏิบัติตามคุณธรรมหรือค่านิยมตัวใดตัวหนึ่ง เช่นความกตัญญูต่อบุคคลขัดแย้งกับความรับผิดชอบต่อหน้าที่ บุคคลที่ตัดสินใจเลือกคุณธรรมหรือค่านิยมตัวที่มรประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าที่เป็นประโยชน์แค่เฉพาะตนหรือพวกพ้องในกลุ่มเล็ก ๆ จึงมัดเป็นบุคคลที่มีจริยธรรมสูง
2.ข้อแตกต่างระหว่างค่านิยม คุณธรรม จรรยาบรรณ และจริยธรรม
จริยธรรม เป็นหลักการ (PRINCIPLE) ที่บุคคลยึดถืออยู่ในใจในการตัดสินใจความถูก – ผิด ดี – เลว ไม่ควรทำของพฤติกรรมต่าง ๆ
จรรยา เป็นความประพฤติและการปฏิบัติ ที่ถือว่ามีความถูกต้อง ดีงาม ควรทำตามหลักจริยธรรมของกลุ่มบุคคล เช่น จรรยาแพทย์ จรรยาข้าราชการ อาจกำหนดเป็นข้อ ๆ เรียกว่าจรรยาบรรณ
คุณธรรม จึงมีลักษณะที่บุคคลเห็นว่ามีประโยชน์มาก เลวน้อย มีประโยชน์น้อย เช่น ความขยัน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อหน้าที่
ค่านิยม จึงมีลักษณะทางจิตใจ ในการเรียงลำดับความสำคัญ ความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเลือก การประเมินบุคคล ในการกำหนดสิ่งที่ต้องการของบุคคล
ชื่อ ธีรวัฒน์ ชาตะลี รหัสนักศึกษา63423471145รัฐศาตร์รุ่น46
3.หลักการแบ่งแยกระหว่ากฎหมายกับจริยธรรม
หลักการแบ่งแยกระหว่างกฎหมายกับจริยธรรม คือ ศีลธรรมในการควบคุมความประพฤติของคนในสังคม โดยการกำหนดขอบเขตของกฎหมายบ้านเมืองกับกฎหมายธรรมชาติ ส่วนจริยธรรมมีความแตกต่างจากกฎหมาย และมีบทบาทส่งเสริมและสนับสนุนกัน จึงเป็นหน้าที่ของจริยธรรม หรือศีลธรรมในการวางหลักเกณฑ์ ความดี ความชั่ว ความผิดไว้เป็นต้น โดยการใช้กฎหมายบ้านเมืองและกฎหมายธรรมชาติในการวางกรอบควบคุม
4.ความแตกต่างระหว่างกฎหมาย กับจริยธรรม มีอะไรบ้าง อธิบาย
ความแตกต่างระหว่างกฎหมายกับจริยธรรม กฎหมายและจริยธรรม เป็นเครื่องมือของมนุษย์ ในการควบคุมบุคคลที่มีโทษอย่างชัดเจน ส่วนจริยธรรมเป็นเครื่องมือควบคุมประพฤติของคนที่ไม่มีการลงโทษชัดเจนต่อกฎหมาย กล่าวได้ว่าจริยธรรมเป็นเครื่องมือควบคุมความประพฤติของมนุษย์ในระดับสูงส่วนกฎหมายเป็นการควบคุมมนุษย์ในระดับต่ำ จึงเป็นหน้าที่ของจริยธรรมหรือศีลธรรม ในการวางหลักเกณฑ์ความดีและความชั่ว ความถูก ความผิด ปฏิบัติตาม กฎหมายกับจริยธรรมจึงแตกต่างกัน ในลักษณะต้องทำ และสิ่งควรทำและยอมรับพฤติกรรมของมนุษย์ในอุดมคติในลักษณะเฉพาะ
If หาเงินออนไลน์ you are ready to play the game, we will give 인카지노 you a wide 온카지노 variety of tips, including the latest casinos and bonuses.